วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาถึง อ. สะเมิง

สะเมิง สบลาน
เช้าวันนี้เราออกเดินทางจากอ.เชียงดาว มายัง อ.สะเมิง ใช้เวลา ประมษร 2 ชั่วโมง เป็น สองชั่วโมงที่ทรมาณเป็นยิ่ง ด้วยนั่งอยู่ท้ายกระบะหลัง หันหน้าออกสวนทางกับการเคลื่อนที่ของรถ เส้นทางคดเคี้ยว อีกทั้งยังขึ้นเขา ภาวนาไม่ได้ช่วยอะไรนัก การพยายามข่มตาหลับเป็นทางออกที่ดีกว่า แต่ ก็คลื่นไส้เกินกว่าจะทนได้ อาหารที่กินไปเมื่อเช้า คือขาหมูร้านอร่อยจากอ.เชียงดาว แทจะสวนทางกลับออกมาจากช่องทางที่เรากลืนกินลงไป
คณะใหญ่ถึงตลาดอ.สะเมิงแล้วเรายังไม่ถึงใช้เวลาอีกสักครู่กับการร็พะอืดพะอม อดทนบรท้ายรถ ลงมาจากรถด้วยอาการหมดสภาพ คลายเสื้อให้รับลมเย็นๆ หายใจเข้าลึกยาว หายใจออกยาว สักสามสี่ครั้งไม่เป็นผล อาการอยากอาเจียนยิ่งทวีขึ้น รีดเดินหาห้องน้ำเพื่อลูบหน้าตาให้คลายความทุกข์ลง ทุกสายตา มองด้วยอาการยิ้มๆ และกรุณา จากอาการทางการที่เกิดขึ้น แต่ล้วนแต่เป็นความรักทั้งสิ้น
คณะใหญ่มาจากสถานีรถไฟด้วยรถรับจ้างสีเหลืองสดใสหลายคัน เกินกว่าครึ่งอัดตัวแน่นอยู่ในร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ สั่งอาหหาร แบบพายุถล่ม รายได้ของร้านอาหารในหนึ่งถึงสองชั่วโมงที่เราอยู่ตรงนี้นี้ อาจเทียบกับค่าอาหารที่ร้านเปิดขายตลอดทั้งวัน แม่ค้าคงเหนื่อยและเวียนหัวกันเป็นธรรมดา ยังคงทานอะไรไม่ได้ แต่น้ำเปล่าก็เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงและปรับสมดุลของร่างกายได้เป็นอย่างดี
เปลี่ยนรถที่ใช้เดินทางเพราะไม่อยากจะเข้าไปอัดอยู่ท้ายรถอีกต่อไป กระสองแถวแบบกระบะ 5 คน เดินทางเข้าสู่ หมู่บ้าน ในดงไม้เบื้องหน้า ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรแต่ก็ต้องไปเรื่อยๆ เพราะเส้นทางเป็นทางชันและลูดรัง สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ และ สายธาร ผมและชุดของพวกเราเริ่มที่จะเปลี่ยนสีออกแดง หัวสั่นหัวคลอน ลุ้นกับเส้นทางอยู่เล็กน้อย เราก็มาถึง....

เชียบงดาว 2

หนาวสะท้านเปล่าหัวใจ หนาวฤทัย อ้างว้าง
ใครบ้างได้ยินเสียง ร้องก้อง ของพี่
กระสับกระส่าย สั่นท้าว
มิอาจข่มตา หลับลง ข้ามคืน

เสียงน้ำไหลดังแว่ว เป็นทำนอง
เสียงหริ่งระงมร้อง ผสานใกล้
ลืมหวือวีดพัด ไอหนาว บาดใจ
น้ำตาตกลงใต้ หมอนหนุน

ณยามเช้าไก่โก่ง คอขัน
อากาศยังหนาว สะท้าน ทรวง
นภาพร่างดาวพราย หมอกบัง
จำลุกขึ้นพิงไฟเอา คลายหนาว

หมอกจางแล้วนะจ๊ะที่รัก ออกเดินไปยังบ่อพักน้ำร้อน
ลงแช่คลายหนาวไม่เว้าวอน จะถอดถอนความหนาวที่ฝังใจ
สบายสบายเวลาไม่กำหนด ชีวีเปลื้องปลดลงไว้
ปล่อยเวลาปล่อยกายใจ ให้กระแสน้ำไหลพัดพา

แต่งตัวออกไปกินข้าวเช้า พร้อมห่อข้าวสำหรับบ่าย
ใบตองรองไว้เมื่อยามสาย ยามบ่ายเจ้าจะเป็นอย่างไร
(ขีเกียจแต่งแล้ว...ดูหดหู่ยังไงไม่รู้...ดูเศ้ราๆชอบกล)

ว่าไปแล้วชีวิตนี่ก็แปลกแล้วนะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวร้ายก็กับดี ดูไปนะ...
หลังจากกินข้าวเช้าร้านอร่อย มังสวิรัตเจ้าเดินคราวนี้เดินทางมากินที่ร้านเลย พร้อมข้าวห่อใบตองอันใหญ่ทีเดียวสำหรับทุกคน วันนี้เราจะต้องไปเที่ยวดอยหลวงเชียงดาว..เขาว่ากันว่า เดินทางขึ้นไปด้วยรถก็เกือบชัวโมง หากหมายใจว่าจะขึ้นถึงยอดอาจต้องใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง ระหว่างเส้นทาง เราได้ไปดูสวนของพี่อ้วนด้วย สวยงามตามไหลเขาเรื่อยๆ สองหนุมนั่งอยู่ท้ายรถ ไม่ได้สนใจว่าเขาคุยอะไรกันด้านหน้า มัวแต่กินข้าวห่อใบตองนั่นแหละ อร่อย แล้วก็หลับไป

ทางขึ้นเขาเลาะไปตามทาง หัวสั่นหัวคลอนกันไปธรรมชาติสวยงาม เส้นทางคดเคี้ยว อากาศเปลี่ยนอีกครา เป็นอย่างไรไม่รู้ สดชื่นเท่านั้น ทั้งทางตา ทางใจ และอากาศที่สัมผัสกาย จอดรถง่ายๆมาฟังเสียงธรรมาติ “ลองเงียบเงียบ แล้วฟังเสียงธรรมชาติเค้าคุยกัน” เราเคยได้ยินกันบ้างหรือไม่ ในเมือง คงจะมีแต่เสียงสังเคราะห์ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ดังระงมเอง

ถึงทางขึ้นดอยหลวงแล้ว เห็นผองเพื่อนชาวเมืองแบกเป้มากมายเตรียมเข้าป่า..แล้วก็สะท้อนใจ บ้างกำลังจะขึ้น บ้างนั่งพักคลายเมื่อย “เอ้าเรามากันแล้ว ทำงานแลกข้าวกันหน่อย” ถุงหลาสติดที่เราใส่ข้าวถุงใหญ่ถูกแจกหั้บพวกเรา งงนิดๆว่าจะได้ทำอะไร “เก็บขยะ” โอ้ว..ในใจยิ้ม เร่งมือช่วยกันเก็บ ชาวเมืองหลายคน คงเฝ้ามอง บ้างได้ยินว่าอยากช่วยแต่ เพื่อนอีกคนก็บอกไม่ต้อง เราก็ทำไป..”ปีที่แล้วผมพาเด็กมาช่วยกันเก็ยได้เกือบ 200 กิโล” อืม... คนหนอคน

เก็บของเสร็จ พี่อ้วนถามความสมัครใจจากพวกเราว่าจะทำอะไรก่อน กิน หรือว่าเดิน แน่นอนส่วนใหญ่เลือกเดิน เพราะว่ายังรู้สึกอิ่มกับขาวเช้าอยู่ ส่วนผมสบายๆอยู่แล้วเพราะสำเร็จทา ข้าวเหนียวหมู น้ำพริกเรียบร้อยมาหนึ่งห่อแล้ว

ออกเดินทางด้วยลำแข้งทั้งสอง พี่อ้วนพาเราไปตามเส้นทางขึ้นดอยหลวง พร้อมกับเปิดห้องเรียนธรรมชาติ ป่า ตนไม้ ใบไม้ต่างๆ นก ชีวิตในป่า... ความเขียวครึ้ม ลมพัดเย็น เส้นทางสวยๆงาม เราไม่ต้องรีบรร้อนเดินไป เดินไปเรื่อยๆ “ช้าลงนิด..เป็นสุขใจ” ระหว่างทาง พบชาวเมืองเพื่อนกัน สื่อสารว่าเมื่อคืน อากาศบบนยอดดอย อยู่ที่ เกือบ 0 องศา

“ขอบคุณค่า....” เสียงตะโกนก้องป่าที่ร้องออกมาจากพี่สาวคนหนึ่งในคณะ เป็นเสียงที่ออกมาจากหัวใจอย่างแท้จริง ความรู้สึกกของคุณธรรมชิต ที่โอบอ้อม เสมือน ผู้เฒ่าที่เฝ้ามองเด็ก ประคองกอดพวกเราอยู่ในที ทุกคนประหลาดใจกับเสียงนี้ แต่มองหน้ากันด้วยความรู้สึก อิ่มเอม..และอยากขอบคุณ พี่สาวคนนี้เสียงจริงๆ ที่เอ่ยคำขอบคุรจากหัวใจนี้ในกับ ผู้เฒ่าที่ยิ่งใหญ่ของเรา

ลงมากินข้าวพักผ่อนกาย พูดคุยกันพอคลายเหนื่อย ขึ้นรถต่อไปอีกเพื่อไปหมู่บ้านหนึ่งบนดอยนั้นเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงชาวดอย ชมยอดภูรูปทรงแปลกตา ภาพ พาโนราม่า ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา มีแต่ธรรมชาติ แบบบริสุทธิ์ อากาศเย็นสบาย ที่พักสวยงาม มานั่งมานอนเอกเขนกกันให้สบาย เรานั่งพูดคุย ราวกับไม่ได้เจอกันมานาน บ้างก็ปลีกตัวไปนั่งสบายๆกินบรรยากาศให้อิ่มหนำ

ร่ำลาเพื่อนพี่อ้วนที่อยากจะใช้ชื่อ นิคม เหมือนกัน ด้วยความอยากกินขนมปัง โฮลวีท อร่อยๆ พี่อ้วนก็กราพาเราไปที่ร้านเพื่อรับขนมปังอร่อยๆ ที่เพิ่งเสร็จใหม่ๆจากเตา อร่อยๆจริงๆ เราแวะเข้าไปที่บ้านพักของพี่อ้วน ซากปรักหักพัง ของสิ่งก่อสร้างเต็มไปหมด คล้ายกับว่าเป็นโบราณสถานสักแห่ง

เย็นนี้เรากินข้าวกันตามสบายๆ อิ่มหนำ เคล้าไอมิตรภาพที่อบอวล...คืนนี้เราจะต้องลาแล้วเชียงดาว แน่นอนไม่พราด เราเตรียมตัวนอนดีกว่าเมื่อวันวาน...

เชียงดาว สาวหนุ่ม

เดินทางสู่ขนส่งฯแบบกระชั้นชิด หัวใจยังรีบร้อน ความคิดฟุ้งฟุ้ง
รถก็ติดตลอดสาย หมายมุ่ง จะถึงก่อนใกล้ทุ่ม...ไหมหนอ?

ออกจากบ้านมาช้าๆ ไม่รีบร้อนเพราะคิดว่ารถไม่น่ะติด..แต่ที่ไหนได้...ยาวเลยเช่นกัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผองเพื่อนร่วมเดินทางก็ถึงที่จุดนัดกันแล้ว ใจก็เร่งไปให้โดยไว เพราะลึกๆก็กลัวตกรถ

ถึงแล้ว เวลายังเหลือนิดหน่อยก็ดูงงๆว่าทำไมต้องวุ่นวายใจขนาดนั้น สมาชิกมาเกือบครบ ขาดไปก็เพียงแต่ “หัวหน้าคณะ...” ไม่เป็นไร เดี๋ยวจอดรับกลางทางได้ไม่มีปัญหา นั่งมาบนรถ จิตใจไม่เป็นสุข เพราะหวังว่าจะได้เห็นหน้า “ครูกุ๊ก” สักหน่อยพอให้นอนฝันดี ป่าวดูไม่ได้!

รังสิต..สถานที่นัดหมาย หัวหน้าก็ยังไม่มา... กะว่าคนขับเขาคงไม่รอ เลยต้องไปยืนดัก อาจเป็นเพราะใจ ประวิงไปก่อน หัวหน้ามาแล้ว ออกเดินทาง...

นครสวรรค์ จุดแวะพักกลางทาง บัตรโดยสารสามารถแลกอาหารได้....ค่อยคลายความหิว ที่มาจากความอยากของปากที่ต้องการขยับเล็กน้อย...

ถนนคดเคี้ยวไปมา แกว่งโยนไปตรามหลุมตามบ่อของถนนที่ไม่เรียบนัก ทางขึ้นเขา ลงห้วยอย่างไร ไม่รู้เพราะหลับแบบหัวสั่นหัวคลอน
ตีสี่กว่า ถึงตัวจังหวัดเชียงใหญ่ เห็นผู้คนที่อยู่ที่ขนส่งสวมเสื้อกันหนาว...”เชียงดาว “อาจต้องหนาวกว่านี้แน่! ใจคิด ตีห้ากว่า ถึงเชียงดาวแล้ว หมอกลงหนา อากาศก็เย็นได้ใจจนต้องค้นเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่

ขึ้นรถสองแถวจากจุดที่ลงไปตลาด... ตลาดไม่ใหญ่นัก พวกเรา ๕ คนเลือกนั่งที่ร้านกาแฟ-ไข่ลวก ร้านหนึ่ง ในตลาด วางข้าวของที่เยอะแยะอย่างกับจะมาอยู่สักเดือนไว้ที่นี่ก่อน สั่งเครื่องดื่ม แล้วออกเดิน...หาอะไรมาเป็นเชื้อพลังให้กับร่างกาย

“รู้จัก พี่อ้วน มั๊ย ครับ?” เป็นคำถามยอดฮิต ติดดาวของหัวหน้าคระ และลูกทีม ที่เหมือนกันรอลุ้นคำตอบและ check เรต ไปในคราเดียวกัน ...”อ๋อ พี่อ้วน นิคม” เป็นเสียงตอบจากบรรดาพ่อค้าแม่ขาย ชาวบ้าน ร้านตลาด อ. เชียงดาวเป็นอย่างดี

เจ็ดโมงแล้ว หมอกยังหนาอยู่ เทอร์โมมิเตอร์ในรถ4*4 คันงามของ อ้ายแดง บอกไว้ว่า 15 องศา แน่นอน หกีวิต ยินดีอัดกันอยู่ในตัวรถไม่มีใครออกไปนั่งที่กระบะท้าย

รถแล่นไปไม่ช้านัก แต่ด้วยความระมัดระวังของผู้ขับที่ชำนาญทาง ผ่านหมู่บ้าน ร้านตลาด ตรอกซอย วัด โรงเรียน ข้ามแยก... เราสังเกตเห็นป้ายลางๆ ท่ามกลางสายหมอก “สถานที่กางเต็นท์ค่ายเยาวชนอนุรักษ์ดอยหลวง” ในใจก็ยังคงคิดว่าจะเป็นประการใดกันหนอ

หมอกจางหรือควันไฟ ใครบอกได้วานตอบที
มองเห็นอยู่ในที ฤาจะต้องพิสูจน์กัน
สูดไอแล้วฉ่ำชื่น หรือขมขื่นเมินหน้าหัน
จะเป็นสิ่งใดนั้น คงต้องตอบด้วยตนเอง


ทางเป็นทางขึ้นเขาน้อยๆ ผ่านสวนมะม่วง ลิ้นจี่ ลำไย รถเลี้ยวซ้ายผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเข้ามา หมูตัวสีดำ กับลูกๆที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเป็นอิสระ ควายฝูงใหญ่ ลำธาธน้ำใส ไหลเย็น ถนนคอนกรีตสิ้นสุดลงที่หมู่บ้านของชาวเขานั้น ดินลูกรังที่ค่อนข้างเรียบ อาจบ่งบอกอะไรเราบางอย่าง หายใจไม่กี่ครั้งก็ถึงที่หมาย

หมอกยังคงอยู่ อ้ายแดงส่งเราเรียบร้อย ความกระตือรือร้นอยากเที่ยวของพวกเรายังท่วมท้น หัวเริ่มวางแผนว่าจะไปนู้นนี่อยู่ กะว่าเอาให้คุ้ม.. อ้ายแดงบอกกับเราว่า ให้พักให้สบายก่อน สามารถเดินไปแช่น้ำร้อนได้ ไม่ไกลนักจากที่นี่ หมอกเริ่มจางคลาย ยอดดอยหลวงสูงตระหง่านต้องแสงแดดสีทอง ผสานแนวป่าเต็มด้วยแมกไม้นานาพรรณด้านล่าง อาคารห้องประชุม และสนามหญ้า เรียงกันลงมาจากท้องฟ้าสีขาวจนถึงปลายเท้าของเจ้าของสายตา ภาพตรงหน้าชวนให้มองอย่างพิเคราะห์ถึงความกลมกลืนกันไป สายตาก็คงจ้องมองแต่ยอดเขาสูงใหญ่

ดอยหลวงสูงเด่นตั้ง ตระหง่าน
แซมหมอกขาวดุจ เมฆจาง เพื่อนพ้อง
แสงทองส่องสาด ขุนเขา พนาไพร
รับด้วยอาคารหลังใหญ่ เสียงน้ำไหลริน

เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยออกตามรอย ท่านประธานไปยังบ่อน้ำร้อน ด้วยไมตรีของคุณลุงสุวรรณขับรถไปส่งถึงที่ พบท่านประธาน พร้อมด้วย เจ้าบ้านกำลังนอนแช่น้ำอย่างเป็นสุข เปลี่ยนชุดท้าอากาศเสียหน่อยแล้วค่อยๆหย่อนกายลงในบ่อน้ำนั้น.... ลำธารไหลรินเป็นฉากสวยอยู่ตรงหน้า กลิ่นกำมะถันที่ออกมาพร้อมควันลอยคุ้งอยู่อ่อนๆ “อาบน้ำร้อนแล้วต้องแช่น้ำเย็นในลำธาร” ปลายผิวเหมือนถูกเข็มทิ่มทุกรูขุมขน กลับมารับประทานอาหารมังสวิรัตอร่อยๆจากร้านอาหารหรู “ลองพิสูจน์”

ช่วงสายนี้ เจ้าบ้านของเรามีประชุมชาวบ้าน ใจจริงอยากร่วมฟังด้วย แต่ด้วยความอ่อนล้าจากการนั่งรถ พวกเราเลยของีบหลับบนกองผ้าห่มหนาอย่างเป็นสุขแทน

ตื่นขึ้นมาเกือบบ่ายอากศยังเย็นไปนิดสำหรับคนท้ายน้ำอย่างเราๆ รับประทานอาหารแบบเมืองๆ อย่างอร่อย มีผักสดเคียงหลากหลายอย่าง อากาศดี อาหารอร่อยมีประโยชน์ ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว

จักรยานคันเก่งของ น้องโอม และน้องออม สองชายตัวกระปุ๊กลุกสายเลือดพี่อ้วนโดยตรง ถูกสองน้าหนู และน้าภูมิหยิบยืมมาปั่นชมรอบๆ ที่พัก ตลอดเส้นทางเป็นทางลงเขาแทบจะไม่ต้องออกแรงปั่น เพียงประคองให้เจ้าสองล้อ ไหลลงมาตามทางเท่านั้น ลมเย็นกระทบหน้า อากาศพิสุทธิ์ไหลเข้าปอดเต็มๆ สองฟากถนนเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ โยกซ้าย ขวา ไปตามทาง ไม่นานก็ถึงตลาด ในใจก็คิดว่า ขากลับคงไม่ปั่นแล้ว จอดรอที่ตลาดดีกว่า

เพื่อนร่วมทีมมากันอีกสองคน เดินทางมาไกล ด้วยรถบัสสีแดง... กระเป๋าใบใหญ่ยังกองอยู่ที่พื้น หนึ่งนั้นกังลิ้มรสไอศกรีมอย่างเอร็ด ด้วยเหตุผลว่า อาจไม่ได้กินอีกหลายวัน... อ้ายแดงมาเช่นเคย โชคดีที่ไม่ต้องขี่จักยานกลับที่พัก

หลังจากที่ทุกคนถึงที่พัก หย่อย ใจเสียนิดหน่อย เราทั้งเจ็ด พร้อมมัคุเทศน้อยทั้งสอง ก็เดินทางไปเที่ยวชมความงามของอ.เชียงดาว หมู่บ้าน ปางแดง ที่รู้สึกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าที่จะเป็นหมู่บ้านของพี่น้องชาวเขา ได้ผ้าทอมือมาคนละผืนสองผืน เดินทางไปเที่ยวถ้ำเชียงดาว เสียแต่ว่ามาช้าไปหน่อย จึงไม่สามารถเข้าไปชมความงามในถ้ำได้ แล้ววกรถกลับมาที่พัก ร่ำอาหารเอร็ด ก่อไฟพิงให้กายอุ่น วงพูดคุยก็เริ่มต้น...เหนื่อยแล้ว แยกย้ายกันไปนอน

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #8

<เช้าวันรุ่งขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ ก็ไม่รู้ว่าจะรีบกันทำไม เพื่อนคนหนึ่งแหกขี้ตาเพื่อจะออกจากที่พักตั้งแต่ ตีห้าสิบห้า บอกว่าอยากมีเวลาทำนู้นทำนี่ เห็นได้ชัดว่าอยาก Manage เรื่องต่างๆ แฮ่ะ อาทิตย์หนึ่งอาการก็ออก เออเราเองก็ได้ดูใจตัวเองไปว่าเป็นอย่างไร บอกก็แล้ว ก็ขี้เกียจเถียง ว่าไม่ต้องรีบ เพราะไม่รู้จะรียทำไม?? ก็ตามใจ ถึงโรงอาหารเราเองก็เป็นคนถูกตำหนิเพราะว่าแม่ครัวบอกว่า “ไหนจะออกหกโมง แล้วทำไมรีบมากันจัง” น่านกู แต่ก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว โอเคๆ บอกแม่ครัวว่า “ออกหกโมงจริงครับ ทำทันอยู่แล้ว” ซึ่งก็กว่าจะได้ออกกันจริงจังก็หกโมง สิบนาทีเข้าไปนั่น ไหนจะวกรถไปเติมน้ำมัน ไหนจะ แวะซื้อของนู้นนี้กันอีก ก็ไม่รู้จะรียทำไม หรือว่าเป็นนิสัยของคนชาตินั้นกันแน่หว่า เอ..มันเป็นเพราะอะไร ??

ก่อนจะออกคุณอาของเราเองก็มาเยี่ยมชมโรงเรียน วันนี้เป็นคณะพิเศษเรียกว่าพิเศษจริงๆ เพราะเส้นมาก เออ มาอยู่ไม่เท่าไหร่ก็มีเส้นมีสายแล้วเรา ได้เจอกันแว๊บเดียว ไม่ได้ตั้งใจจะมาเยี่ยมเราหรอกพอดีจะเข้ากรุงเทพอยู่แล้ว ก็เลยถือว่าเป็นทางผ่านเลยแวะมาเอาไห้คุ้มหน่อย เออ ก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ แต่ตัวเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่ต้องไปขอร้อง กับความตั้งใจที่ดูเหมือนไม่จริงจังอย่างนี้
วันเสาร์ ณ อยุธยา ก็อย่างที่เรียนให้ทราบว่าไม่รู้จะรีบออกจากที่พักกันทำไม ขับรถเรื่อยเปื่อยกว่าจะถึงก็แปดโมงกว่าแล้ว มีฝนพรำๆบ้างประปราย แต่ไม่มากนัก พเย็นๆให้ครึ้มใจระหว่างทาง ถึงวัดพนัญเชิงเป็นสถานที่แรก เข้าไปกราบหลวงพ่อ เพื่อนๆต่างตื่นตาตื่นใจกันพอสมควร ยิ่งสนุกเมื่อได้ลองเสี่ยงเซียมซี เออแปลกดี เห็นแขกเสี่ยงเสียมซีก็ตลกดี เขย่าอยู๋นานไม่เห็นลาวง ก็หันมาทำหัวด๊อกแด๊ก อ่าวแม่คุณเอ๊ย เล่นตั้งฉากขนาดกับพื้นโลกอย่างนั้น จะล่วงลงมาได้อย่างไรกัน?? วัดนี้ก็แปลกเซียมซีไม่มีภาษาอังกฤษก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ที่พาไปอีกหล่ะครับ พอเดาออกนะครับว่าอย่างไร เป็นกลอน ก็ต้องถอดความกันอีก สนุกพิลึก

จากนั้นลงเรือล่องลำน้ำเจ้าพระยา ไปจุดเชื่อมต่อกับแม่น้ำลพบุรี สนุกดี คนเรือพาไปดูช้าง ตกอกตกใจว่าเห็นช้างทำไมนอนนิ่ง แล้วก็มีรถไถนาขันหนึ่งจอดอยู่อีตอนแรกก็นึกว่าช้างจะตายเตรียมจะฝัง แต่ขวาญก็บอกว่าฝึกเอาไว้ถ่ายหนัง และแล้วตามไสตล์ช้างไทย ก็อนุเคราะห์ลงเล่นน้ำให้คนดู เรี่ยรายกันคนละ ยี่สิบ สามสิบ ให้ช.ช้างไป ไม่รู้ตกถึงช.ช้างหรือเปล่า? ทอมก็สนุกมาก ไม่กลัว เห็นช้างยืน ช้างเล่นน้ำ ยังไม่ครบชุดเพราะว่ายังไม่เห็นช้างอึ...



ล่องเรือมาหารักสักที....จนหรือมีก็ตามแต่... ไม่เกี่ยวอะไร ไปวัดท่าการ้อง เพิ่งสร้างตลาดน้ำใหม่ขึ้นมา เรียกว่าใหม่มาก ไม่มีการพายเรือมาขาย ขนของลงเรือเท่านั้นเรือก็จอดเอาไว้ที่ท่าน้ำวัดนั่นแหละ ซื้อข้าวของกันสนุก อันนี้ดีอย่างราคาพอๆกันไม่มีถูกแพงกว่ากันนัก ป้ายราคาพร้อมสรรพ แต่บรรยากาศจัดฉากมากไปหน่อย ถ้ามีโอกาสไปอยากให้ลองไปเข้าห้องน้ำที่นี่ดูเพราะว่าสะอาดเหลือหลาย สะอาดจริงๆ เรียกได้ว่านอนกลิ้งได้เลยทีเดียวเชียว


ร่องเรือผ่านวัดชัยวัฒนาราม ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นวัง ไม่เคยเห็นวัดชัยวัฒนารามมุมนี้มาก่อน สวยมาก จริงๆ ตกเย็น มองจากอีกฝั่งคงจะยิ่งสวยมากๆ ล่องเรือต่อกลับวัดพนัญเชิง คนเรือที่นี่ดี ให้ลองขับเรือเองได้ เราถึงเรื่องล่องน้ำก็บอกว่าเป็นอย่างไร ก็ได้ความรู้เล็กๆเรื่องการดูร่องน้ำ

เริ่มรู้สึกร้อนและเหนื่อยกันพอตัว เราก็เร่งไปต่อกันที่วัดหน้าพระเมรุ กราบพระประธาน วัดนี้ก็มีประวัติยาวนาน ขอบคุรวิชาประวัติสาสตร์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ก็พอจะถูไถ กล่าวให้เพื่อนฟังพอไหว มั่วบ้าง จริงเยอะหน่อยก็เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี เข้าไปกราบกระขาวหลังโบสถ์ ก็ตื่นตากันมากคือการ เสี่ยงทายยกช้าง เราเองก็เริ่มก่อนเลย แล้วทุกคนก็หันมา “ Hey, What’s this?”งงสิครับอธิบายไม่ถูกคน ภาษาดีหน่อยก็รู้เรื่อง คนที่ภาษาไม่ดีก็งง (๕๕๕ไม่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษนะครับ ภาษามือและ ความฉลาดด้านการเดา) จากวัดนี่หลายคนเริ่มบ่นอุบ ว่า”Where are we going?” .”Temple” มากเข้าก็เริ่มเบื่อ บ้างหิว และหงุดหงิด นึกว่าจะหาที่ให้ทานอาหาร ไอ้เราก็เห็นว่ากินกันมาแล้ว ที่ตลาดน้ำ เอ้า! หิวก็หยิบกินได้เลย เราเองก็เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ในเรือแล้ว๕๕ ก็แวะร้านโอเลี้ยง ให้นั่งทานข้าวกันหน่อย ก็เป็นสนุกมากเพราะสั่งโอเลี้ยงไม่รู้เรื่อง เราเองก็ไม่ช่วย เพียงแค่บอกว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไร ต้องช่วยตัวเองบ้างสิ (จริงๆคือก็เหนื่อยและก็เยื่อแล้วที่ต้องดูแลทุกเรื่อง)

เบื่อกันมากเปลี่ยนแผนไปเที่ยว วัดดอกบัว กัน วัดนี้เค้าดีมีแอร์ ของขายเยอะแยะ บ้างซื้อกล้องถ่ายรูป ช๊อบปิ้งนู้นนี่ตามประสา ให้เวลาชั่วโมงครึ่งกันทีเดียว เราเองก็เมื่อยและง่วงเลยหนีไปนอนให้เค้านวดเท้าให้ สบายไป อ่อวัดที่ว่า คือ วัด tesco Lotus
จากนั้นมุ่งตรงไปวัด ซึ่งเป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่เป็นรูปแบบของโบสถ์ สวยงามมาก เป็นคนไทยบางคนยังไม่เคยมาเลย ต้องข้างน้ำไปด้วยเพราะวัดตุ่งอยู่บนเกาะเลยทีเดียว สวยจริงๆ บางทีก็นึกรักศิลปะตะวันตกเข้าจับจิตเหมือนกัน พอดีไปก็เริ่มจะเย็นเห็นหลวงพ่อ หลวงพ่อทำวัตรกันอยู่ก็เป็นโอกาสดี เลยระลึกคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปด้วยเลย จากนั้นมานั่งเล่นกันที่ท่าน้ำ เพื่อนซึ่งเป็นชาวฮินดูก็สวดสรรเสริญองค์เทพกันบ้าง อืมได้บรรยากาศดีแท้
a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqDne_jCmK2CxAw42BEMkguVUbSApNOyNDD79cjrOMMla4swF-EiYXCOqoqgJhyphenhyphenk1U_yui240b9P7jGiHs-nYX_nAdddlqFWs-cwKl_TEXLkRt2cMMW3PAb4celfjYKMu3CsHiOylcKnM/s1600-h/Photo-0008.jpg">






กลับมาเรื่อยๆ รถอีกคันพาแวะกินพิซซ่าที่ โลตัส ส่วนรถเราคนแก่เยอะเป็นส่วนมากก็เอาว่าจะเดินทางกลับก็เห็นใจคนสาวที่อยากกินพิซซ่าอยู่กลายๆ ก็เริ่มสงสัยว่า ทำไมเค้าไม่เห็นเห็นใจกันบ้างเลยหว่า เด็กๆยังเออออ เวลาห้าๆอยากไปนู้นนี่ ที่จะพาเด็กไปส่งเพื่อให้เด็กมีความสุขเล็กบ้าง ก็ไม่เห็นค่อยจะยอม เออเรื่องนี้ก็นั่งคิดอยู่นานว่าเปน้เพราะอะไรกันแน่? เป็นเพราะเราไม่เข้าใจความเป็นชนชาติของเขา หรือเป็นเพราะตัวเอง ที่ให้ค่าตีความ...เหอะๆๆ

จนแล้วจนรอดก็มาแวะกินขนมกลางทาง ข้าวใครข้าวมัน เออเราเหลือบไปเห็นรถเปิดไฟอยู่เพราะเด็กน้อยนอนแล้ว ต้องมีคนดูแล เสร็จแล้วทุกคนขึ้นรถ ถูกครับสตาทร์ไม่ติด เป็นเรื่องสนุกของทุกคนที่จะช่วยกันเข็น ก็เห็นอีกหล่ะครับว่าใครเป็นอย่างไร แหมจริงเลย บ้างก็กลัวยุงกัดเอาผ้าห่อตัวแล้วนั่งอยู่ในรถไม่ช่วยเข็น บอกอีกแหนะว่าน้ำหนักอีฉันไม่มากเท่าไหร่หรอก ขอนั่งบนรถแล้วกัน บ้างก็ลงมาช่วย โอเค้ บ้างก็อยากให้ตามหาช่าง ให้โทรบอกคนน็นคนนี้มาให้ช่วย เห็นถึงความตื่นกลัวของทุกคน ร่วมทั้งตัวเอง เพราะรู้สึกเล็กว่าเป็นหน้าที่เจ้าบ้านของเราที่จะดูแล อำนวยความสะดวก ทั้งๆที่ไม่ได้มีใครบอกให้ทำ กลับมาดูตัวเองก็เห็นความกลัวเล็กๆ ไม่ได้กลัวลำบากแต่กลัวคนอื่นๆจะลำบากมากกว่า ดูไม่ค่อยสบายกัน เลย แต่พอมีแรงใจจากสายตาทั้งที่ไม่ได้พูดกันก็คลายความกังวลลงไปได้เยอะพอควรเลยทีเดียวกับการเข้าใจสถานการณ์อย่างนี้

จนแล้วจดรอดก็รอกว่าครึ่งชั่วโมง รถอีกคันจึงจามมาเปลี่ยนแบ็ต กันซะก็เดินทางถึงที่หมายแม้ว่าจะไม่สามารถใช้แอร์ได้ก็มีความสุขดี เราเองก็นั่งคุยเป็นเพื่อนพี่คนขับมาเรื่อย ถึงโรงเรียนก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #7

เช้าวันศุกร์ วันนี้มีแขกมาแต่เช้าเช่นเคย วันนี้เราไปไม่สายเหมือนเมื่อวานเพราะรู้สึกได้พักค่อนข้างเยอะ แขกมาเยอะ มีแขกคุยกับเด็กระหว่างอาจารย์เล่านิทาน ก็ทำให้หงุดหงิดใจเช่นกัน เห็นความไม่ประสงค์ดที่จะทำให้การขัดจังหวะเล่านี้เกิดขึ้น ความควรไม่ควรก็เข้ามาครอบงำตัวเอง มีช่วงที่แอบหลับด้วยเช่นเดียวกัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเยื่อเข้าไปทุกทีๆ แม้ว่านิทานจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจก็ตาม หากลองฟังดีๆก็จะเห็นสำนวนภาษาน่ารักๆจากอาจารย์ได้เช่นกัน เช่น ราชสีห์เป็นกษัตริย์แห่งป่า

ช่วงเข้าแถวก็เกิดความสนุกขึ้นมาถ่ายรูปและวิดิโอด้วยโทรศัพท์พื่อเอาไว้ประกอบอะไรบางอย่างของตัวเอง ก็สนุกดี เห็นอะไรหลายต่อหลายมุมดี ความรู้สึกที่อยากจะมีกล้องถ่ายรูปติดตัวมก็เกิดขึ้นอีกเยอะเช่นกัน คิดไปเรื่อย ถ้ามีนะ จะอย่างนู้นอย่างนี้เป็นจิตนาการ ที่ทำให้ทุกข์เสียเหลือเกิน ตัณหาความทะยานอยากนี่เขาไม่เคยปราณีจริงๆ ได้รับมอบหมายให้เป็นล่ามกิตตมาศักดิ์อีดเช่นเคย ความนี้แปลไม่ดีเท่าเมื่อวาน เพราะจะมีคนข้างๆมาร่วมแปลด้วยยิ่งทำให้ความมั่นใจไขว้เขวไปเสีย ต้องรอฟังว่าเข้าพูดอะไร อย่างไร จะเอาความคิดชุดภาษา ลำดับการร้อยเรียงของตัวเองมาใช้ก็ไม่ทันไปเสียสิ้น จึงไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไหร่ มีเรื่องอย่างะเล่าให้ฟังดังนี้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งท่านได้ถามนักเรียนที่โรงเรียนว่า “ครูเห็นนักเรียนตอบคำถามมามีแต่ข้อดีๆแล้วม่ทราบว่ามีข้ออะไรที่ไม่ดีหรือไม่ ช่วยหยิบยกข้อไม่มีมาบอกให้ฟังหน่อย” นักเรียนอึกอึก แล้วมีนักเรียนคนหนึ่งตอบว่า” เรื่องมองว่าดีไม่ดีนี่ก็เกิดกับแต่ละบุคคล โรงเรียนสอนให้เรามองด้านที่ดี ไม่เปิดช่องด้านที่ไม่ดีเอาไว้ เป็นเหมือนสองประตู เราก็เลือกเปิดเฉพาะประตูด้านดีเท่านั้นครับ ผมก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร” เสียงปรบมือดังขึ้น ครูท่านนั้นก็รีบสวนว่า “ถ้านี่เป็นข้อสอบ และครูเป็นผู้ออกข้อสอบ ตอบอย่างนี้ตก เพราะว่าไม่ตรงคำถามนะคะ” เราเองก็เห็นความกลัวของคนถามเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนความกลัวของคนตอบย่อมมีแต่ทำได้ดีควบคุมได้ แต่คนถามไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ต้องหลุดวาจาอย่างนี้ออกมาเพื่อประโลมตัวเองให้อยู่ในภาวะปกติไม่ได้รู้สึกว่าถูกทำร้ายตัวตนข้างในของตัวเอง..
เรามีเวลาว่างอีกนิดหน่อย ก็ทำงานกุ๊กกิ๊กของตัวเองไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาทานอาหารกลางวันก็รับประทานอาหารสบายๆ แต่ทว่าก็มีกลุ่มบุคคลเข้ามาสอบถาม เรื่องราวของโรงเรียนโดยที่นึกว่าตัวข้าเจ้าเป็นคุณครูเสียอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่ถอว่าเป็นเรื่องแปลก กว่าจะรู้ก็ตอนท้ายสุดของการสนทนาแล้ว เราเองก็สำรวจตัวเองอยู่เช่นกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนเรียกตัวเราว่าเป็นคุณครูโรงเรียนสัตยาไส รู้สึกได้ว่าใจมันพองเล็ก ยอมรับหน่อยว่าใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดมีความประหม่าอายเล็กเกิดขึ้นกลางใจเช่นกัน

ช่วงบ่ายขณะนั่งทำงานอยู่ที่ห้องพักของอาจารย์ คุณครูเลขาฯต้องออกไปทำธุระนอกโรงเรียนในตัวจังหวัดจึงไม่มีใครสอนนักเรียนแทนเพราะว่ามีสอนหรือติดงานกันแทบทั้งหมด ฉะนั้นเราจึงอาสาสอนแทนเสียเลย ก็เลยต้องรีบฟื้นความรู้เสียหน่อย Question Words กับนักเรียน ม.๑ ตอนแรกนึกว่าใจให้ทำกิจกรรมสนุกๆ แต่ทว่าเวลากับอุปกรณ์ไม่เอื้ออำนวย เพราะอาจารย์ได้ตามหาคนช่วยทำงานเพราะว่าเลขาฯไม่อยู่สักคนเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฟื้นชุดคำชุดภาษาที่เป็นเรื่องยากพอควร เพราะการสอนมันก็จะมีเฉพาะอยู่ แม้แต่ความรู้ก็ยังไม่ใคร่จะเหมือนเดิมนัก ความรู้ก็น้อยนิดเดียวอยู่แล้วด้วย ขณะสอนก็เห็นได้ชัดว่าตัวเองนั้นปัญหาค่อนข้างมากในการเขียนตัวหนังสือบนกระดาน เพราะว่าเรื้อไปนาน ความเมื่อก็บังเกิด พยายามเขียนให้สวยก็กลับไม่ใคร่สวยนัก ซ้ำยังกังวลอยู่ในช่วงแรกๆ เด็กๆก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือมากนัก แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีอยู่แล้ว ต้องมีการตะโกนแข่งบ้าง อาจเป็นเพราะวิธีการพูดหรือการใช้เสียงขณะสอนหน้าห้องนั้นไม่เหมือนกันวิธีการใช้เสียงของทั่วไปอย่างนั้นเอง ไปสักครึ่งคาบก็เริ่มเหนื่อย ความกังวลเรื่องงานที่อาจารย์วานให้ดูแลให้ท่านก็ยังไม่ถึงไหน ดีก็แต่ว่ามีคุณครูอีกท่านมาช่วยเอาไว้ได้ทัน ซึ่งก็ย่อมดีกว่าที่ให้คุณครูท่านนั้นดูแลต่อเพราะเป็นเรื่องของโรงเรียนแล้ว ช่วงสอนใกล้จะจบคาบก็มีความคิด ความรู้สึกต่างๆขึ้นมากมากเหลือเกินทั้งชอบและไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ เห็นมุมว่าจะปรับปรุงเปลี่ยนหรือว่าเพิ่มตรงส่วนไหนอย่างไรทำนองนั้น ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันขณะอยู่หน้าห้องสักเท่าไหร่ คิดเห็นว่าอยากทำนู้นทำนี่ แต่ก็ไรพลังไปอย่างนั้น

ให้งานเสร็จถึงเวลาเรียน แต่อาจารย์ยังไม่เลิกบรรยายให้แขกที่มาเยี่ยมโรงเรียนตั้งแต่เช้า ใช้เวลาทั้งวันจริงๆ เลยเวลามาเกือบชั่วโมง เห็นเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆก็เริ่มเบื่อ บางคนก็สนุกกับการเรียนรู้อยู่กับเด็ก บ้างก็ไม่ คนเรานี่ก็แปลกมีหลายต่อหลายแบบจริงๆ บ้างก็เพื่อคนอื่น บ้างก็เพื่อตัวเอง เฮอะๆ กว่าจะได้เรียนเรียนก็ใช้เวลาอีกพักนึ่งในการปรับภาพให้ชัดจน ทำอะไรต่อมิอะไร เราเองก็รู้สึกว่าเป็นการเรียนแบบบ้านๆจริงด้วยแหละ ไม่ค่อยมีพิธีรีตรองอะไรมากนักสบายๆ เรียกได้อยู่ก็อยู่ด้วยกันขนาดนนี้แล้วนี่หน่า เออสนุกพิลึกๆ ในใจตัวเองก็เห็นความเป็นห่วงเป็นกังวลกับเพื่อนคนอื่นๆเป็นอันมาก ช่วงไหนที่ศัพท์ค่อนข้างยากก็นึกไปถึงคนอื่นๆว่าจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ที่ภาษาก็พอๆกัน แน่หล่ะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ่อย ไม่ได้ใช้เป็นภาษาแม่ด้วยนิ เห็นผัสสะอะไรเข้ามาก็ประมวลผลไปถึงคนอื่นๆเรื่อย ร่ำไป เออแปลกดี เหมือนหลงลืมตัวเองอะไรไปบางอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าลืมอะไรไป จะว่าไม่มีสติก็ไม่เชิง จะว่าบ้าๆเบลอก็คัยคล้าย งงเหมือนกันภาวะอย่างนี้ อาจเป็นมานานแต่ไม่เคยได้สังเกต หรือว่าสังเกตเรื่อยจึงเริ่มเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวเองแช่มชัดขึ้นเรื่อยๆกันแน่?

กว่าจะสอนเสร็จก็เย็นมาก ๖ มงกว่าแล้ว อาจารย์เหนื่อยเป็นอย่างยิ่งแต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่ ไม่เห็นว่าอิดโรยเท่าไหร่นักศึกษษทานข้าวเรียบร้อย ก็พากันกลับ เราเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเราจิ๊กจักรยานคนอื่นเขามาใช้อยู่ได้ตั้งหลายวัน แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาทวงนี่หว่า ก็เห็นว่าจอดอยู่ที่ที่พัก ก็เลยนึกว่ามีคนเอามาจอดไว้ไห้เนียนเลย แฮ่ๆ ทำโทษตัวเองด้วยการเดินจูงจักรยานกลับที่พัก ก็ได้พูดคุยกับคนนู้นคนนี้ วันนี้รู้สึกว่าเริ่มฟังสำเนียงได้ชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง วันนี้ต้องรีบนอนหน่อย เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องไป อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน พาเพื่อนๆไปเที่ยว

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #6

เช้าวันพฤหัสบดีหลังจากสุริยคราสไปเมื่อวาน นี้เหตุการในโรงเรียนก็ปกติดี วันนี้มีแขกมาเยี่ยมชมโรงเรียนมากหลายคณะ บ้างก็ใส่เสื้อสีม่วงเช่นเดียวกับคุณครูที่โรงเรียน ตื่นมามึนๆ ก็สับสนบ้างธรรมดา วันนี้รู้สึกคึกคักเป็นพิเศษเพราะว่าเสนอตัวแปลให้กับเพื่อชาวต่างชาติฟัง วันนี้ไม่ค่อยมีกี่คนนักที่มาฟัง แต่เราก็แปลด้วยความสนุกสนานมากมาย และรู้สึกมีพลังเป็นพิเศษ เมื่อข้างในดีเราเองก็รู้สึกว่าพอใจผลงานพอสมควรแม้ว่าจะเหนื่อย และเพลียมากก็ตามที การแปลนี้ก็เป็นการฝึกตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะว่าจะได้ขุดศัพท์และสำนวนขึ้นมาใช้เยอะ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว

วันนี้เราเองมีหน้าที่อีกอย่างที่รับเอาเป็นภาระของตัวเองเช่นกัน ทั้งที่บางครั้งก็ไม่จำเป็น คือพาไปตลาด ซึ่งส่วนใหญ่ก็พอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่เราก็แสล่นไปเอง เออมันก็เลยเหนื่อยอย่างนี้นี่เอง แต่เราก็รู้สึกม่ความสุขดี แม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริงเพราะพะวงอยู่กับคนนู้นคนนี้ เวลาที่กำหนดเอาไว้ แลกเงิน ซื้อของ ต่อราคา ก็เป็นเราทั้งนั้น เห็นได้ว่าเราไม่ค่อยได้อยู่กับตัวเอง ณ ตรงนั้นเลย

ช่วงเช้าอาจารย์บรรยายเรามีเวลามานั่งเขียนงานเล็กน้อย แล้วก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นเพื่อตามให้ไปช่วยดูแลเพื่อนที่มาจากต่างชาติเพราะว่าจะไม่มีคนดูแลคุณครูต้องไปสอน แล้ววันนี้แขกก็เยอะเหลือเกิน เราจึงรีบวางมือจากงานไปช่วยดูสื่อสารให้เท่าที่จะทำได้ วันนี้ก็สนุกสนานดีเพราะว่าสอนบูรณาการคุณค่าความเป็นมนุษย์เข้ากับวิชาต่างๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งของผู้ที่เข้ามาศึกษาดูงาน แม้ว่าจ้องมาแต่จะเอาอะไรก็ตามที่เป็นตัวอักษรกลับไปเสียมากกว่าความรู้สึกและประสบการณ์ตรงของตัวที่ได่รับกับมันตรงหน้า เรารู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูแลเรื่องเหล่า นี้ ความกลัว ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น คล้ายๆกับว่าถูกสั่งให้ทำการบ้าน ตักตวงเอาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะมากได้ ความกลัวที่จะไม่ได้ตามความคาดหวังหรือเอหาที่วางเอาไว้ นั่นแหละที่ทำให้หัวใจเราปิดกั้นความรู้สึกที่เข้ามากระแทกหัวใจเราไป
แต่หลังจากแปลใกล้จบ รู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษอาจเพราะใช้พลังงานเยอะเกินไป ต้องทำอะไรหลายอย่าง ทั้งฟังจับความและแปลออกมา ช่วงบ่ายนั่งอยู่ในห้องรอเริ่มเรียนก็แอบหลับไหลลง ด้วยความเหนื่อยอย่างมหาศาล ไม่ธรรมดาจริงๆกับการแปล ไม่ถือว่าเป็นเรื่องง่ายเลย ตื่นขึ้นมาก่อนเวลาเรียนเล็กน้อย ตั้งใจอธิษฐานขอให้วันนี้ฟังราบรื่นด้วยดี แต่เปล่าวันนี้ฟังไม่รู้เรื่องนักแม้ว่าTeacher จะพูดช้าลงกว่าเมื่อวาน แต่วันนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ง่าย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยๆ ภาษาอังกฤษ เฮอะๆ

ช่วงเย็นก็แยกย้ายทำธุระ เราเองก็พะวงอยู่กับการสวดภชันที่หอเด็กผู้ชาย วันนี้ก็เห็นการตรวจดวงชะตากันบ้าง เพราะว่าครูที่นั่งทำงานที่สถาบันมีความรู้เรื่องนี้อยู่มาก ดูแลเด็กได้ตามสมควร สาวๆก็เลยสนุกสนานกันไป ซึ่งก็แป็นเรื่องธรรมดาของสาวๆทุกชาติศาสนาที่ใคร่รู้เรื่องราวของตัวเอง วันนี้ก่อนขึ้นสวดภชันก็ได้มีโฮกาสเล่นบาสกับน้องเล็กน้อง เด็กๆเก่งกันมา ลีลาพริ้วแพรวพราวจริง ไม่ได้สักลูกเลย เห็นรถของ Teacher ขนเครื่องเสียงมาเยอะแยะเพื่อประกอบการสวดภชัน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกดี เด็กหลายต่อหลายคนก็ชอบใจโดยเฉพาะเด็กเล็ก แต่เด็กโตน่ก็ยากเสียหน่อย ดูเบื่อกับกิจกรรมอย่างนี้ เราเองก็ได้เห็นการสวดภชันของเด็กซึ่งก็เป็นเรื่องดีมากๆที่ทำให้พัฒนาสมองทั้งสองซีกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งด้านการเรียนและดนตรี เพิ่มสมาธิอีกต่างหาก เพราะการร้องเพลงภชันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #5

เช้าวันนี้เป็นวันที่มีสุริยคราสยาวนานเป็นประวัติการในศตวรรษนี้ เพื่อนก็ตื่นเช้ามาภาวนากันเช่นเดิม เราก็ตื่นเมื่อเขาเสร็จกันแล้วเช่นเดิม สบายๆ วันนี้มาสายหน่อยที่ห้องพระเพราะเริ่มนั่งสมาธิกันแล้ว เนียนเข้าไปไม่รู้เรื่องอะไร สบายๆเนียน วันนี้หลังเลิกกิจกรรมห้องพระเราเองก็นั่งอยู่กับพื้น เด็กเดินผ่านก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะก็มีบางคนไหว้ แล้วก็ไม่ไหวธรรมดา แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เห็นมั๊ยคะว่าแขก เป็นผู้ใหญ่นั่งอยู่ กลับไปเดินมาใหม่เดี๋ยวนี้ แล้วผู้ใหญ่นั่งอยู่ต้องทำอย่างไร “ เอาหละสิ ต้องเอาตัวเองไปเป็นตัวละครของเด็ก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ระหว่างนั่งให้เด็กๆคลานผ่านก็รู้สึกกระดากเช่นกัน มีความรู้สึกว่าต้องดูแลตัวเอง และ สูงเหนือกว่าเค้านิดๆโผล่ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้มากนัก เป็นความรู้สึกไม่ค่อยโอเคมากกว่า ต้องรออยู่จนเด็กเดินแถวผ่านจยหมด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูแลตัวเองในสฐานะการณ์อย่างนี้

วันนี้ช่วงเช้าก็มีเวลาค่อนข้างเยอะพอมควร ขณะนั่งทานข้าวก็มีคุณครูมาฟ้องเราว่าเด็กที่มักจะมาเล่นกับเรานั้นเมื่อวานดื้อเอาเสียมากๆ แล้วคุณครูก็เล่าวีรกรรมให้ฟัง “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันดื้อมาก เป็นการดุครั้งแรกของปีนี้ทีเดียว “ เราเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรก็คงตอบไปขำๆว่า “สงสัยเป็นสัญญาณของการที่จะเกิดสุริยปราคากระมังครับ ธรรมชาติดินฟ้าผิดเพี้ยนไป เด็กๆก็เลยซนเกินกว่าธรรมดา คุณครูอาจต้องไหว้ของดำเด็กอาจกลับคืน” ซึ่งก็ได้ผลคุณครูหัวร่อสบายใจขึ้นมากโข วันนี้ก็ได้ทราบข่าวว่าเมื่อวานตอนเช้าท่านอาจารย์ล้มหัวกระแทกพื้นและหลับไปค่อนข้างนาน ไม่มีใครทราบ อาจารย์ต้องช่วยประคองตัวเองให้มาที่โซฟาที่บ้านพักเอง เมื่อนักเรียนสวดมนต์กันเสร็จจึงได้มาพบท่านอาจารย์ที่บ้านและก็ทราบว่าอาจารย์ท่านล้มลง เป็นเรื่องที่ต้องดูแลอาจารย์ท่านเพราะว่าอาจารย์ทำงานหนักเหลือเกิน เกินความที่ปกติคนช่วงวัยท่านจะทำกัน เรียกได้ว่ามีเวลาพักผ่อนน้อยนิดเดียวเท่านั้น หลังจากเข้าแถวเราก็มานั่งเขียนบันทึกนี้อยู่ที่ห้องพักอาจารย์อาจอง ซึ่งจะมีคนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา เด็กๆก็มานั่งเล่นด้วยเช่นกัน

ชีวิตวันนี้ราบรื่นเป็นปกติทั่วไปช่วงบ่ายมีบรรยายจาก Teacher ในเรื่องของ Philosophy of Educare เราพูดถึงปัญาที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นจากแนวคิด วิธีคิดขอองยุคสมัย การเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนเริ่มที่จะแข่งขันกัน การศึกษาก็เป็นช่องทางที่สร้างคนเพื่อตอบสนองความต้องการภาคส่วนของสังคมอีกเป็นการ เพราะมนุษย์ก็เป็นทรัพยากรที่จะสร้างสรรอะไรๆให้เกิดขึ้นต่อๆไป วันนี้รู้สึกว่าการฟังของเราค่อนข้าง ok แม้ว่าจะมีบางอย่างที่รู้สึกว่าเร้วไป แต่สิ่งที่ได้รับก็ประมาณ 70% ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกประเดี๋ยว มีความกังวลเช่นกันว่าจะใช่เวลาในการปรับตัวนานเกินไป เป็นความขัดแย้งภายในที่กำลังก่อกำเนิดขึ้นภายในหัวใจของตัวเอง

วันนี้กลับที่พักมีเวลาออกกำลังกายด้วยการรำมวยขณะที่คนอื่นๆกำลังสวดมนต์กัน ก็เป็นเรื่องที่สามารถอยู่ร่วมได้อย่างไม่มีปัญหา วันนี้มีวงแลกเปลี่ยนการสวดมนต์ของฮินดูในแต่ละภาษา เรียกว่าเป็นการสอนร้องเพลงก็ว่าได้ สนุกสนานดี เราเองก็ลยทำหน้าที่เล่นกับ Tom เด็กน้อยชาวฝรั่งเศส พอคุณเธอได้พูดคุณก็พูดไม่ยอมหยุด แต่เราก็คุยกันได้ แม้ว่าจะไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เค้าพูดก็ตาม อันนี้ก็เป็นอีกเรื่อง ถ้าเป็นเด็กไทยที่พล่ามขนาดนนี้แล้วเรารู้เรื่อง การให้ค่าตีความของเราจะเป็นอย่างไร เปลี่ยนไปอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสนใจเช่นกัน เพียงเพราะเราฟังไม่รู้เรื่อง อย่างนี้มันเลยทำให้เราไม่รู้สึกรำคาญ หรือว่าเพราะความน่ารักของเด็กน้อยตำลมผมทองแก้มย้วยกันแน่....ไว้จะถ่ายรูปมาให้ชมแล้วกันว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไรแล้วคืนนี้ก็หลับเป็นตาย เพราะเหนื่อยใช่ย่อย

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #4

วันอังคารคุณ Yoga ว่าจะไปกรุงเทพ เราเองก็มีความคิดว่าจะไปกรุงเทพด้วยเพื่อเก็บของใช่ที่จำเป็นและหนังสือบางเล่มที่ต้องใช้ซึ่ง โดยติดรถteacher ไป เพราะต้องพานักเรียนไปสอบ cello ที่จุฬา เราเองก็เลยขอติดรถไปด้วยทิ้งพรรคพวกทั้งหมดไว้ที่โรงเรียน เพราะวันนี้เราไม่นักศึกษาไม่มีเรียนอะไรเรานั่งรถมาซึ่งเป็นส่วนท้ายกระบะ เออ แต่งตัวก็ดีแต่มานั่งท้ายรถ สนุกดีเหมือนกัน ก็เป็นโอกาสดีที่ได้หลับมาตลอด สบายไป มาตื่นแถวๆใกล้กรุงเทพแล้ว รถก็เริ่มติด อย่างนี้ทุกที


รายงานตัวตอน 08.30 ซึ่งตอนนี้ยังอยู่บนถนนอยู่เลย แต่ก็ยังไปทัน เราเองก็ได้กลับถิ่นเก่าเหมือนกัน เพราะว่าโรงเรียนของเราก็เคยอยู่ที่นั่นก็เลยเป็นเรื่องดีที่จะได้ช่วยเหลือน้องๆเค้าบ้าง ก็เสร็จสรรพ เห็นความกังวลของน้องเค้าอยู่บ้างในตอนเช้าเพราะว่ามีการเปรียบเทียบกระเป๋าใส่อุปกรณ์กับเพื่อนที่มาสอบคนอื่นๆอยู่ ซึ่งเราเองก็เข้าใจเพราะเราเองก็เป็นอย่างนี้มากก่อน ทำให้เราได้กลับไปมองในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร เพียงแค่เฝ้ามองเท่านั้นพอ หลังจากเสร็จจากการส่งน้องแล้วเราก็กลับบ้านมาเก็บของ วันนี้แม่หยุดเราก็ได้อ้อนอยู่กับแม่อีกพักหนึ่ง แม่ว่าเป็นช่วงสั้นๆแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดี

เก็บของกินข้าวอาบน้ำเสร็จแล้วเราก็ออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่ถนนสุขุมวิทเพราะว่านัดกับ Teacher เอาไว้เพราะว่าจะได้ติดรถกลับด้วยกัน เราไปแวะที่ Peterson เพื่อพาคุณ Yoga ไปซื้อไวโอลิน อืมสนุกดี ได้รู้เรื่องไวโอลิมมาย้างพอสมควรเพราะมี Teacher อีกคนที่สอนไวโอลินที่โรงเรียนเป็นคนเลือกให้ การเลือก ก็มีรายละเอียดเล็กน้อยต่างๆ แต่สุดท้ายก็อยู่ที่เสียงว่าจะเป็นอย่างไร ชอบเสียงแบบไหน ซึ่งราคาก็เป็นที่ทราบกันดีว่าไม่ธรรมดาเลย คนสามัญกินเงินเดือนคงไม่สามารถตัดใจซื้อมาเล่นได้ อืมเอาน่า! ซื้อขลุ่ยมาเป่าเหมือนเดิมไ ม่ก็เล่นตบมือเล่นไปเหมือนเดิมดีกว่า ฮิๆ ใช้เวลาค่อนข้างเยอะในการเลือกซื้อนู้นซื้อนี่ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ได้ตักตวงความสุขที่เกิดขึ้นจากคนอื่น เห็ฯคนอื่นสุขกระแสสุขก็ส่งผ่านมาถึงเราได้ด้วยเช่นกัน

จากนั้นก็แวะไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตเสียหน่อย เออเราเดินผ่านสุรา ก็เกิดอยากกิน เห็นอาการอัตโนมัตเลยว่าจะเอื้อมมือไปหยิบเออสนุกดีเนอะความคุ้นชิน ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะซื้อชาอันไหนดี ต้องแพงหรือเปล่า แล้วก็รู้ว่าไม่เห็นจำเป็นซื้อของปกติก็พอ ซึ่งก็อร่อยดี เราซื้อขนมปังกับนมมาฝากคุร Yoga ที่เป็นคนดีมานั่งข้างหลังเป็นเพื่อนเรา ซึ่งขนมปังกับนมเป็นของที่มาจากสัตว์เขาก็ไม่กิน ทั้งหมดเลยเป็นหน้าที่ของเราเท่านั้น อิ่มแปร่เลย

คุณYoga เขาก็เป็นคนดีเหลือหลายที่มานั่งข้างหลังกระบะเป็นเพื่อเรา เราเข้าใจดีว่าอยากจะมาพูดคุยกับเรา แต่แล้วมันก็เป็นเรื่องยากที่จะเบียนกันอยู่ในนั้น ซึงมีข้าวของเยอะแยะอยู่พอควรอยู่แล้ว เรานั่งมาพูดคุยเรื่องราวในชีวิตกันมาหลังรถกระบะ สนุกสนานดี ขากลับนี้ แต่ทว่าก็เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะพยายามสื่อสารกัน เพราะ Limited English ด้วยกันทั้งค็ก็เลยพอเข้ากันละมะ คุณเขาเป็นคูรอยู่ที่บาลีสอนศาสนาอย่างที่ทราบ เขาก็ต้องการความฟรีในการสอนเช่นกัน ไม่ต้องการถูกกรอบบังคับคล้ายกับเราเช่นกัน เออคุยไปคุยมาก็มาถึงเรื่องของบาบา เราก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ที่บาบามาเข้าฝัน ก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกัน

เรานั่งคุยมาเรื่อย Teacher แวะหานักเรียนคนหนึ่งที่มีพรสวรร์ทางดนตรีมากคนหนึ่ง ซึ่ง Teacher เป็นคนส่งให้เรียนอยู่ เราเองสามารถเห็นความรู้สึกที่พวยพุ่งออกมาได้ เอครูและศิษย์มาพบกัน ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยที่ความรู้สึกเก่าๆที่เราเคยประสบจะหวลกลับมาให้รู้สุ กความตื้นตันก็พวยพุ่งขึ้นสู่หัวใจ หลังากใช่เวลาพูดคุยกันอยู่นาน ก็ได้เวลากลับโรงเรียนกันเสียที ฝนใกล้จะตกแล้ว คุณเพื่อนของเราก็จะมานั่งข้างหลังด้วยกัน แต่เรารู้สึกว่ามันจะยิ่งเบียดมาก ในระยะทางไกล เราเลยทำตัวเป็น น้องชั่วอีกครั้ง ชิ่งไปนั่งข้างหน้าเสียอย่างนั้น ๕๕๕ เลวพอตัว แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกจริงหรือไม่ ที่จะได้เห็นใจตัวเองว่าเป็นห่วงไอ้เจ้าคนนี้แค่ไหน และเห็นใจตัวเองว่ารู้สกผิดเล็ก และแอบสะใจหน่อยๆเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าก็นั่งมาจนถึงโรงเรียนคนเดียวหลังรถเลยก็แล้วกัน

มีแวะจอดพักนิดหน่อยแต่ทว่าลงไม่ได้เพราะฝนตกแรงมาก กระบะหลังก็รั่ว อันนี้เรารู้ดีเพราะเจอกับตัวเองมาแล้วในตอนเช้า กลางทางที่sms มาถึง ถามว่าจะกลับหรือเปล่าจะได้ล็อกประตู โอ้ว!! เหมือนแม่ หรือไม่ก็เมีย ตามตัวอย่างไรอย่างนั้น เออ เห็นความหวังดีที่ทรอดแทรกมาในsms นี้ได้ เออ ไอ้ความรู้สึกเหล่านี้มันเกิดขึ้นเพราะเค้ารู้สึกอย่างนั้นแล้วเรารับรู้ หรือมันเกิดขึ้นภายในใจของเราเท่านั้นกันแน่ ไม่ทราบ

๕๕๕

และแล้วตอนนี้ก็มี แฟรคลับเป็นคุณครูในโรงเรียนด้วยนะครับ....

อย่างไรแล้วก็ อย่าลืม Comment ด้วยนะครับ

อ่อ แล้วงานเขียนทั้งหมด ก็ออกมาจากตัวผมนี้แหละครับ เป็นทัศนะคติ ที่สัตย์ซื่อกับมันจริงๆ เป็นการตีความของผมคนเดียวด้วย ไม่เกี่ยวข้องกับใครแต่อย่างใด.....

ผู้เขียน

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ณ สัตยาไส อินเตอเนชั้นแน่ว...#3

เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาอีกแล้วเพราะว่าเพื่อนรูมเมทผมตื่นขึ้นมาทำการภาวนา แต่ผม ก็นอนภาวนาเช่นเดียวกัน วันนี้เป็นวันจันทร์ เราได้รถมาใช้หนึ่งคัน ก็ทำหน้าที่เป็นคนขับรถเหมือนเดิม(อีกแล้วทุกงาน) ก่อนขับรถไปในตัวโรงเรียน เราก็ได้พาบรรดาเพื่อนไปแวะที่ห้องซักเสื้อผ้า เพื่อส่งผ้าซัก ก็สนุกสนานดี วันนี้เป็นวันแรกที่ทุกคนได้เข้าไปห้องพระถือว่าเป็นวันเริ่มแรกของการเริ่มเรียนด้วยเหมือนกัน วันนี้เรานั่งสามธิม่ค่อยนิ่งนัก เพราะว่ามีหลายสายเข้ามาปนๆกัน ปนกันไปมาตีกันบ้าง เข้ากันได้บ้างสนุกพิลึก วันนี้ก็ให้นักศึกษาได้กล่าวแนะนำตัวให้กับเด็กด้วยเป็นภาษาบ้านเกิดตัวเอง เออก็สนุกดี เราก็แนะนำตัวว่าชื่อภูมิ อยากจะเรียกว่า “ครูภูมิหรือ ว่าพี่ภูมิก็ได้ทั้งนั้น” ซึ่งแต่ละคนก็ได้ส่งภาษาของตัวเอง สนุกดีดูเด็กๆตื่นเต้นกันใหญ่ วันนี้ก็ดำเนินไปตามปกติ หลังจากทานอาหาร ก็เป็นการเคารพธงชาติ อาจารย์ได้กล่าวให้เด็กฟังหลังทานข้าวว่า “เราเองก็เหมือนน้ำที่พยามออกไปสู่โลกภายนอก จากมหาสมุทรก็ระเหยกลายเป็นไอแล้วก็กลับกลายรวมกันเป็นเมฆ กลั่นตัวตกลงมาเป็นน้ำฝน ลงสู่พื้นดินทำความอุดมให้แก่ปฐพี แล้ววันหนึ่งก็กลับกลายเป็นน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรต่อไป ผ่านวัฏจักรนี้ไปเราก็ได้กลับไปสู่ความจริง กลับสู่พระเจ้า หรือกกลับสู่นิพพานตามแต่ที่ตนเชื่อ” เราได้เรียนรู้เยอะแยะจากคำพูดเช้านี้ของอาจารย์ คำพูดง่ายๆแฝงไปด้วยเรื่องราวแห่งความจริงแอบซ่อนอยู่เสมอ
ก่อนเริ่มชั่วโมงแรกหน้าที่คนขับรถยังไม่หมด พาเพื่อนไปตลาดเพื่อทำธุระส่วนตัว ซื้อของบ้าง แลกเงินบ้าง ส่วนมากเป็นของที่ต้องการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชีวิตทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ที่Chart โทรศัพท์ เบาะรองนอน ฯลฯ ซึ่งก็เห็นว่าพวกเขาซื้อเท่าที่จำเป็นไม่ได้ต้องการของดีอะไรมากมายนัก ใช้ของที่สามารถใช้ได้สบายๆเท่านั้น เราเองก็ต้องพยายามเต็มที่เพื่อดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียม ค่อนข้างเหนื่อยแต่ก้มีความสุขที่ได้ทำงานเหล่านี้เมื่อได้รับคำขอบคุณที่สื่ออกมาจากหัวใจที่สัมผัสได้จริงๆ ระหว่างขับรถไปตลาดเราเองก็เห็นความกลัว ที่ผุดขึ้น ตอนที่พาคนนู้นคนนี้ไปนู้นมานี่ ก็เห็ฯความกังวล ไม่ได้อยู่กับตัวเองเท่าไหร่
ช่วงเช้านักศึกษาเริ่มเรียนชั่วโมงแรกกับอาจารย์อาจอง วันนี้อาจารย์พูดเรื่อง การทำสมาธิให้กับนักศึกษาว่าแบ่งออกเป็นสามขั้น และเรื่องราวของการตามความความสงบและความสุขที่แท้จริง ตามหามานานว่าอยู่ที่ไหน ออกเดินทางไปไกลแสนไกล สุดท้ายเราก็กลับมาเจอที่ บ้าน ของเรา
ช่วงบ่ายก็มีชั่วโมงเรียนของTeacher ซึ่งเราเองก็เหนื่อยเอามากๆ ง่วงด้วย Teacher บรรยายเรื่องการศึกษาสัตยาไสให้เราฟังซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องการอยู่พอดีในการทำThesis แล้วก็หวังว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้จริงๆในอนาคตอันใกล้นี้ Teacher มีเปิด วีดีโอให้ดู แต่เราก็หลับอยู่เรื่อย เพราะเหนื่อยเหลือเกิน วิดีโอเกี่ยวกับงานของบาบา แล้วก็เรื่องการศึกษาสัตยาไส ไม่ค่อยทันเท่าไหร่เพราะมัวแต่หลับเป็นส่วนมาก
ตกเย็นมีสอนคุณ Jyotshana ขี่จักรยานอีก วันนี้เธอขี่ได้สบายแล้ว ไม่ต้องห่วง พขี่สองรอบ แล้วก็มั่นใจขี่เองได้เลย สบาย เราเลยปล่อยเธอให้ขี่เป็นเหงื่อออกเยอะแยะไปหมด เห็นคุณน้าทำได้ก็ดีใจและสนุกแทนน้าแกไปด้วยเช่นกัน
กลับที่พักเรามารำมวย ส่วนคนอื่นๆก็สวดมนต์เป็นกิจวัตรต่อไป เราเองก็มานั่งภาวนากับเค้าในช่วงสุดท้ายเหมือนกัน แต่วันนี้ไม่ได้คุยอะไรเท่าไหร่ คงเหนื่อยกันเลยแยกย้ายกันไปหมดเราเองก็รีบนอนเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #2

รุ่งเช้า Yoga ตื่นแต่เช้ามาภาวนา ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนอะไร ให้แก่ร่างกาย แต่สร้างความร้อนใจแก่เราพอตัว เพราะเริ่มเห็นอาการเปรียบเทียบที่เกิดขึ้น และก็เริ่มกังวลว่าจะไม่ยอมตื่น.... แต่ก็ตื่นมาด้วยดี อาบน้ำเตรียมพร้อมแล้ว พบเพื่อนใหม่อีกคนมาจาก เปรู สูงอายุสักหน่อย ชื่อว่า Liliana Sumarriva ป้าแกก็ดูขยันดี แต่ท่าทางเอาเรื่องพอตัว เดาเอาจากแววตา ไม่เคยได้รู้จักเพื่อนแถบนี้มาก่อน คงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ได้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตอนเช้าเราออกเดินไปห้องพระ การภาวนาเริ่มประมาณ ๕.๔๕ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาที สบายๆ ไกลเหมือนกัน! ชักเมื่อยเพราะว่าแบกของเยอะพอตัว เข้าห้องพระพบความเปลี่ยนแปลง ดูมีความเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นในการดูแลเด็ก และ ตัวเด็กเอง เมื่อวาน Teacher บอกว่า นักเรียนม.๖ปีนี้เป็นนักเรียนที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องๆได้ แต่ว่าไม่ค่อยมีข้างในมากนัก ผิดกับรุ่นที่แล้วที่เป็นตัวอย่างไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ข้างใน มีความเป็นศิลปินอยู่เอามาก ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง

เข้าห้องพระ สวดมนต์ นั่งสมาธิเรียบร้อย ก็เดินออกไปกินข้าว เด็กยังเข้ามากอดอาจารย์อยู่เป็นกิจวัตร ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของทั้งอาจารย์และเด็กเลยก็ว่าได้ (โดยเฉพาะเด็กตัวเล็กๆ) ข้าวเช้าวันข้าวต้น ที่โรงเรียนนี้ทานมังสวิรัตกัน ไม่มีเนื้อสัตว์ไม่มีจริงๆ กินผักกินหญ้าไป หลังกินข้าวพบเพื่อนชาวเนปาลอีกสามคน โอ๊ย....! ส่ายหัวด๊อกแด๊ก ฟังไม่รู้เรื่อง ลิ้นระรัวเป็นพลันวัน คุณ Bishwadeep และ Jyoti Adhikari เป็นคู่สามีภรรยา คุณผู้ชายเป็นทนาย คุณผู้หญิงเป็นครู แล้วก็อีกคน ชื่อ Jyotshana Gamair คนนี้ก็เป็นครูเช่นกัน โฮ้ว! โฮ้ว! ฟังไม่รู้เรื่อง ลิ้นระรัว!! เราเองก็ส่ายหัวเหมือนกัน แต่ คนละความหมาย 555
วันนี้ตอนสายๆพาไปเที่ยวตลาดกัน เลือกซื้อผลไม่กันอย่างสนุก เงาะ มังคุด ลางสาด ฝรั่ง คนละนิดละน้อยพอปะทังชีพได้ เราเองก็ซัดซะ...555 ไหนๆก็ไม่ได้กินเนื้อ ก็กินผลไม้แทน กลับมาพักที่หอ เพราะความเหนื่อยมันสะสม ไม่รู้ว่ามาจากไหร เห็นคนอื่นๆเค้าเหนื่อยจากการเดินทางก็เลยเหมาเอาว่าเหนื่อยบ้าง สบายไปได้หนึ่งงีบก่อนกินข้าว หลังกินข้าวเราเองก็สนุกกับการทำนู้นทำนี่เขียนบันทึกบ้าง เขียนอะไรต่อมิอะไรบ้าง เพื่อนนักเรียน อีก สามคนก็มาถึง Anne กับลูกชาย Tom Karnowsky เป็น ฝรั่งเศส Bonjour, Bing! สาวอินเดียกลางคนหนึ่งคน และเป็นสาวอีกคนซึ่งอยู่ที่London คือ VijayShree Krishnan และ Nivedida Chopa เออ ค่อย ok หน่อยกับภาษาพอฟังสำเนียงรู้เรื่องนิดหน่อย ได้เจอ ครูอีกคนที่ได้เคยได้พบ แต่ได้รู้จักชื่อ ครูครูหนุ่ย ผู้แฝงฝังตัวอยู่อยู่ห่างไกลผู้คน และร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนไทยอยู่ น่าสนุกพิลึกแก๊งนี้

หลังจากการOrientationแล้ว ก็มีการถามนิดหน่อยว่าใครต้องการจักรยานบางหรือไม่ ซึ่งเราก็ต้องการเป็นที่แน่แท้เพราะไม่อย่างนั้นเราต้องเดินไปเดินมาน่องโป่งพอดี พอแม่หญิงชาวเนปาล อยากได้รถแมงกะไซด์แต่ ทำไงได้ที่นี่ไม่เห็นมี เราเลยบอกว่าจะแนะนำให้ว่าปั่นอย่างไร เลยช่วงเย็นนี้ก็เลยต้องประคอง แม่หญิงคนนี้นิดหนึ่ง ด้วยความสูงวัยของเธอ แต่ดูเธออยากปั่นรถถีบได้ ก็เลยให้เธอลองปั่นรถถีบดู ตอนรแกก็เห็นว่าถอดใจเพราะว่ายากเหลือเกิน ค่อนข้างลำบอกสำหรับชุดของเธอที่รู้สึกว่ารุ่มร่ามเล็กสำหรับการหัดปั่นจักรยาน มีแม่หญิงชาวอินเดียอีกคนมาช่วยGuide ให้นิดๆ แม้ว่าเธอคนนี้จะไม่ได้ขี่มาตั้งแต่สิบสอง แต่ ก็โอเคมันอยู่ในเนื้อในตัว สบายๆ ขี่ได้อยู่แล้ว ช่วงประคองจักรยาน เราไม่ได้มองเห็นตัวเองเท่าไหร่นัก รู้แต่ว่า แม่หญิงชาวเนปาลนี้เกร็งมาก เอาการ จาก ท่านั่ง อวัยะวะทุกส่วนของร่างกาย...ยิ่งรู้แน่ชัดเมื่อ เราเหลือบไปเห็นมือของเธอเป็นแผลเพราะว่า เกร็งกัการจับแฮนด์รถถบมากจนเกินไป แต่มันก็แสดงถึงความตั้งใจของเธอได้เป็นอย่างดี เราเห็นถึงความไม่มั่นใจของเธอู้นี้เพราะขณะเราจับเรารู้ได้ว่าเธอพอจะทรงตัวได้แล้วแต่ความกลัวที่เข้ามาแทรกนั้นเกินจะอธิบายได้ เราก็ประคองเธอเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเธอสามารถไปด้วยตัวเองได้แล้ว เราก็เริ่มปล่อยมือ แต่ยังคงทำราวกับว่า เรายังประคองเธออยู่ ทุกคนที่เห็นปรบมือให้เธอ เธอเห็นก็ยังไม่สนใจจนกระทั่งเธอลงจากรถถีบ แล้วระลึกว่าเธอสามารถขี่รถถีบได้แล้ว อันนี้เป็นเรื่องแปลกที่ว่า ผู้ใหญ่มักจายึกเอาความกลัวที่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดเข้ามามากกว่าเด็กทำให้ปิดกั้นอะไรบางอย่างของตัวเองไปเสียสิ้น... เราบอกให้เธอผู้นี้วางความกลัว แล้วเชื่อมั่น แรกเลยอาจเชื่อมั่นในตัวผู้ที่คอยประคอง แต่แล้วก็กลับมาเชื่อมั่นตัวเอง ซึ่งเราเห็นได้จากตัวเธอเองอยู่แล้ว แล้วเธอเองก็ทำได้ สบายๆ เนียนๆ

รายงานความคืบหน้าของชีวิต ณ สัตยาไส อินเตอเนชั้นแน่ว...

โฮ้วจอร์จ! เป็นเรื่องแล้วครับ กลับตอนแรกคิดว่าจะง่ายๆ ไม่ยุ่งยากนัก กับการเรียนในหลักสูตรของสถาบันการศึกษาสัตยาไส เกี่ยวกับ เรื่องคุณค่าความเป็นมนุษย์ (Human Value) ได้พบได้เจออะไรก็เลยเขียนมาเล่าให้ฟังกันครับ เฮอะๆ

หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเข้ามาศึกษาความเป็นไปเป็นมา การเปลี่ยนแปลงของนักศึกษาที่เข้ามาเรียนในหลักสูตรนี้เพื่อทำเป็นวิทยานิพนธ์ด้วย แต่แล้ว คำถามที่ไม่ชัดเจนของตัวเองก็ทำให้ หัวข้อไม่ผ่าน แต่ก็ยังตั้งใจที่จะมาเรียนอยู่ดี ติดต่ออาจารย์ดร.อาจอง ไว้เรียบร้อยแล้ว จะไม่มาเรียนก็กะไรอยู่ ปรึกษาปัญหายิ่งใหญ่นี้กับอาจารย์ ท่านก็กรุณาให้คำปรึกษาว่า “ก็รีบทำหัวข้อเลยสิ จะได้ส่งให้อาจารย์ของเราท่านพิจรณา” ซึ่งขั้นตอนต่างๆในระบบของมหิดลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้มันผ่าน ต้องผ่านู้นผ่านนี่ เยอะแยะไปหมด เราก็ตัดสินใจว่า ก็อยู่เรียนไปทำหัวข้อไป ได้ความรู้ได้หัวข้อเอง เอ้าไหนๆก็ไหนๆแล้ว เสื้อผ้าที่ตอนแรกว่าจะมาอยู่สักแค่อาทิตย์ก็กลายเป็นว่าคงต้องอยู่เป็นเดือน เอาหล่ะสิ ดีว่ายังอยู่ใกล้ๆบ้านคงไม่เป็นไรนัก

มาที่โรงเรียนเมื่อวันเสาร์ (คือเมื่อวาน) ตื่นไม่เช้ามากนักเพราเหนื่อยกับ เมื่อวันศุกร์ที่โนอาจารย์ร่วมกันช่วยขุดคุ้ยหาความจริงให้กับหัวข้อของตัวเอง แต่แล้ง มันก็กลับเป็นว่า....มาเริ่มต้นกันใหม่ หาความชัดเจนในตัวเองซะ!! ไม่เป็นไร ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆดีกว่า เพราะการทำเพื่อคนอื่น กลัวคนอื่นลำบาก กลับยิ่งทำให้คนอื่นๆ ลำบากยิ่งขึ้นไปอีก เออ ไม่น่าเชื่อการคุ้ยเขี่ยตะเข็บของหัวใจที่อาจารย์ท่านกรุณานี้ได้ผลเห็นความติดดีที่มีเอามากของตัวเอง กลับมาต่อ การมาโรงเรียนสัตยาไส ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ขึ้นรถที่ห้าง Century ตรงอนุเสาวรีย์ชัยฯ 140 บาท ถึงเลย หน้าโรงเรียน สะดวกสบายเอามากๆ คนบนรถก็ไม่แน่นนัก นั่งมาหลวมๆ ดูเราเป็นคนแปลกแยกกว่าคนอื่นอยู่พอตัว ทั้งการแต่งกายก การวางตัว... เออแปลกดี เห็นอยู่นะ แต่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ดีที่สุดคงเป็นการหลับ และ มีลมหายใจเหมือนกัน แวะปั๊มน้ำมัน หนึ่งครั้ง แถวๆหินกอง เราได้ยืดเส้นยืดสายสบายๆ เข้าห้องน้ำ ซื้อขนมของฝากให้ใครๆ

นั่งรถอีกสัก ชั่วโมงกว่าก็ถึงโรงเรียน เราต้องเดินเข้ามาในโรงเรียนซึ่งระยะทางพอควรกับสัมภาระที่มี เพราะว่า น้ายามไม่ยอมให้เราเข้า ถามว่าเรามาทำอะไร? เราก็ตอบว่ามาหาอาจารย์ ตอนแรกว่าจะแลกบัตร เห็นความวิ๊บขึ้นในใจเล็ก ว่าต้องแบกของเดินเข้าไปตั้งไกล แล้วก็เรามาตั้งหลายครั้งแล้วยังต้อนรับแบบนี้อีกเหรอ? เพียงแค่เห็น มันก็กลับยิ้ม...(ยังฝืนยิ้มอยู่ เพราะว่าของหนัก) เดินเข้ามาในโรงเรียน พบความสดชื่น สมหวังในหัวใจที่ได้กลับมา แม้เพียงมาเหยียบก็สุขใจ แล้ว แปลกว่าไม่ได้เป็นศิษย์เก่าที่นี่แต่มาถึงก็มีความสุขเหมือนกัน เดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็พบกับเด็กน้อยสองคน อ่าว... มาครั้งที่แล้วก็เห็นเด็กน้อยสองคนนี่ก่อน มาครั้งนี่ก็เหมือนกัน พบว่าตัวโตขึ้นกันทั้งสองคน ตอนนี้อยู่ป. ๒ กันแล้ว ยังเหมือนเดิม สายตาประหลาดใจพร้อมคำถามว่า “มาอีกแล้วเหรอ คราวนี้มาอยู่นานมั๊ย อยู่นานๆนะ” หัวใจพองน้อยๆ แม่จะเริ่มหอบเพราะเหนื่อยจากการเดินแบกของ เข้าไปพบอาจารย์ และ Teacher Loraine อาจารย์ชาวต่างประเทศที่อยู่ ที่โรงเรียนมาตั้งแต่เริ่มตั้งใหม่ๆ อยู่จนพูดไทยได้คล่องแล้วมีโรงเรียนเป็นเหมือนบ้านเลยทีเดียว

เข้าไปพบอาจารย์ที่บ้าน อาจารย์ส่งรอยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นเคย แต่รู้สึกว่าอบอุ่นกว่าทุกๆครั้ง เป็นสายตาแห่งความโอ่นโยนอย่างยิ่งที่ได้รับ มองลึกลงไปไม่สุด ไม่เห็นอะไร นอกจากความเมตตาในสายตาคู่นั้นอย่างยิ่ง “โอ้ว!มาแล้วเหรอ” แล้วก็คุยกับอาจารย์เรื่องThesis ว่ะอย่างไรดี อาจารย์ก็แนะนำให้เป็นอย่างดีว่าควรจะทำอะไรอย่างไร ได้เท่าที่เป็นไปได้ อาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น เอ้าเอาไงเอากัน%

พักใหญ่Teacher พาเราเข้ามาที่พัก สายตาคำพูดยังแสดงความห่วงใยเราในเรื่องของ Thesis อยู่ ด้วยความเห็นใจเช่นกัน สถานที่พักอยู่ปลายทาง ท้ายบริเวณของโรงเรียน ตึกโทรมๆเพราะไม่ใคร่มีใครเข้ามาพักนัก ปีหนึ่งจะมี สัก 30 คนได้ ไม่มีใครอยู่แบบยาวๆ ซึ่งถ้าอยู่ยาวๆก็มักจะอยู่ในบริเวณใกล้หอพักนักเรียนหน่อย โอ้วมีวัว มีไก่ด้วย ดูแล้ว น่าสนุกดี มีความรู้สึกแว๊บเข้ามาในหัวใจเป็นการตีความนิดๆว่า ไม่น่าไหวหนา... มีเพื่อนนักศึกษามาแล้ว 3 คนเป็นชาว Mexico สองคน อีกคนเป็นชาวIndonesia คนหลังนี้เป็น Roommate ด้วยสิ โว้ว! มาแล้วครับ ต้องขุดวิชาภาษาอังกฤษมาใช้เสียแล้วครับ สองสาวMexican ก็เป็นสาวสวยคนคายตามแบบ สาวอเมริกันใต้ คนหนึ่งดูไม่น่าห่างกับเรามากนัก อีกคนก็น่าจะราวสามสิบแก่ๆ ส่วน คุรรูมเมทของเราก็น่าจะประมาณ สามสิบต้นๆ เช่นกัน อืม คุณรูมเมท นี่น่ารัก ดูจิตใจดีมากๆ วอบถามได้ความว่าเป็นคุณครูอยู่ที่ บาหลี (เอ้าเพื่อนๆจิตตปัญญาเตรียมเฮ) เป็นชาวฮินดู สอนศาสนาในโรงเรียนเช่นกัน วันนี้เราคุยกันเรื่อง ภาวนา กันพอตัว บอกให้เขาช่วยสอนเราด้วย ติดก็แต่ว่า ภาษาอังกฤษขอทั้งคู่...555 แต่ก็ดีที่ได้อยู่กับ คุณคนนี้ เพราะว่าทำให้เราได้กล้าที่จะพูดมากขึ้น เพราะไม่ต้องกลัวผิด เพราะพี่แกก็ผิดพอๆกัน เออมาทบทวนตอนนี้ก็เห็นว่า มีอาการเหนือกว่าเล็กที่ผุดขึ้นทำให้เรากล้าพูดกับคนนี้ อ่อ ลืมบอกชื่อไป คุณคนนี้ชื่อ Gusti Ngurah เขาให้เรียกว่า Yoga ก็ได้ ส่วนผู้หญิงMexican ชื่อ Maribel Judith และ Blanca Elena คนแรกนี้เห็นว่าเป็น วิศวะกร ส่วนคนที่สองนี่เป็นลูกสาวร้านขายขนมปัง แล้วก็ทำงานการเงินอยู่ที่บ้านตัวเอง เออเอาสิตู.... คงต้องมาฝึก กราเซียส โอ้ฮ่า ซะแล้ว

ตกเย็นมีการแสดงดนตรสัก เพื่อเป็นการซ้อมให้กับน้องคนหนึ่งที่จะไปลองสอบที่จุฬา ในวัน อังคาร ก็เรียกความมั่นใจให้น้องคนนี้ ลดความประหม่าปได้เบอะกับวิธีการเรียกคนมาดูเยอะ แม้ว่าจะเป็นเพื่อน พี่ๆ น้องกันเองก็ตาม น้องเค้ามีพรสวรรค์ที่ดี ปีนิดเดียว กับ Cello ก็เล่นโซ่โลของ บารค์ได้แล้ว นับว่าไม่ธรรมดา จริงมั๊ย? ที่น่าประทับใจกว่านั้นคือ มีนักเรียนเก่าที่จบไปจากโรงเรียนเมื่อปีที่แล้วกัลบมา เป็นนักดนตรีของโรงเรียน และเป็นนักเรียนดนตรีที่ ศิลปากร และก็ที่รังสิต เข้ามาจอย กับน้อง อาจารย์ผู้คุมวงก็เล่นด้วย “โอ้ว ฝรั่งเรียกเป็นเอ็นจอยมากๆ” เคลิ้มไปได้เลย ดีมาก ผิดบ้างเพี้ยนบาง แต่ก็มีความสุขนี่น่า ดนตรีเราเล่นเพื่ออะไร มีความสุข หรือใช้เป็นเครื่องมือของการจับผิดกัน? อาจารย์อาจอง ก็เล่น เปียโนได้อย่างพริ้ว อาจารย์เคยถวายงานดนตรีกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยเมื่อครั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ชื่อเพลงอะไรไม่รู้ แต่รู้ว่าเก่า แล้วก็มีเนื้อร้องคับคล้ายว่า “แสงดาวสวยพราวดูเด่น เล็งเห็นเหมือนตาของเธอ เฝ้าเพ้อหัวใจละเมอรำพัน...”ฝังแล้วใจจะละลาย ยิ่งอาจารย์บอกว่าเป็นเพลงที่เคยเล่นถวายด้วยแล้ว ขนแขนก็สแตนอัพในทันใด

เมื่อคืนที่ผ่านมานั่งทำงานอยู่ที่ที่พัก ที่พักนี้เป็นหลายอย่างเป็นเหมือนบ้าน Academy ทำนองนั้นเลย เพราะว่า เป็นที่เรียน และเป็นที่พักในตัว มีห้องครัว เครื่องออกกำลังกายไว้บริการ (มีเครื่องเดียว แอ๊บโดมิไนเซ่อร์) เมื่อคืนขระนั่งทำงานพบว่ามีสายตามาจ้องๆมองเราอยู่ และก็มีพลังงานอะไรเดินไปเดินมาอยู่เนืองๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติแต่อย่างใดนอกเหนือจากนั้น ก็เข้านอนด้วยความปกติสุข แม้ว่าตอนนอนจะเกร็งๆเล็กกับการที่มีเพื่อน รูมเมทคนใหม่ ตกดึกสักหน่อยเพื่อนๆจากต่างประเทศ อีก 4 คนก็เดินทางมาถึง เป็นใครไม่รู้เหมือนกัน แก่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เฮอะๆ เพราะพักนี้ได้เพื่อนแก่อยู่เรื่อย

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

จังหวะ ของเส้นเสียง

วันนี้มีโอกาสดีมาเป็น ผู้ร่วมจัดรายการวิทยุที่เคยมีคนและนำให้มาเอาดีด้านนี้
ในตอนแรกไม่คิดว่าจะมาเป็นผู้ร่วมจัด แต่กิเลศที่เราอยากรู้ลึกในหัวใจก็เรียกร้องให้เข้ามาร่วมจัดและเป็นการเรียนรู้ส่วนตัว
ในนี้ได้ลองมาทำในสิ่งที่กิเลสภายในนั้นต้องการกลับพบว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ไม่แน่ใจว่าเป็นการหว่านเสน่ห์อย่างหนึ่งของตัวเองหรือไม่

ยากเหมือนกันเพราะว่าเราต้องเตรียมบทเตรียมอะไรๆต่อมิอะไรมากมายเหลือเกิน...

เทปแรกยังไม่สามารถเข้าจังหวะที่พี่ทั้งสองนั้นได้วางเอาแล้วอย่างเข้าขา กันนัก
คงต้องใช้เวลาในการปรับตัว ปรับจังหวะของเราเช่นกัน ให้ลื่นไหลกับโลกภายนอกได้

เทปที่สอง เราจับจังหวะได้แล้วความลื่ไหลของพลังที่flow ออกมา รู้ทางมากยิ่งขึ้นว่าจะเป็นอย่างไร
สอดแทรกความเป็นตัวเราเข้าไปตรงไหนได้ ความลื่นไหลยังได้เรื่อยๆก็ทำให้จังหวะที่มีนั้นดูflow มากขึ้นไปอีก...

ลองติดตามดูนะครับ....

Fm 105
เวลา 2300-2400
วันจันทร์ที่ 1 และ วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2552

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความฝัน On my Dream

ความฝัน
ครานั้นเมื่อนอนกลางวันเพราะความขี้เกียจแม้กระทั้งดำรงตนให้หลังตรงได้ เอนตัวลงบนที่นอนเหมือนเคย หลับไม่สนิทเข้าสู่ภวังค์แต่สติยังรู้สึกตัวอยู่อย่างแผ่วเบา ปล่อยให้ดวงจิตพัดลอยไปไกลจากร่างกาย ความฝันก็ผุดขึ้น

เสียงโทรศัพท์ดังไกลๆ รีบรุดไปรับด้วยอารามตื่นเต้น อดเห็นไม่ได้ว่าตัวเองยังดุว่าตัวเองด้วยกรอบอันใหม่ ว่ารีบทำไมกัน? ปล่อยให้ความรู้สึกอันนั้นผ่านเข้ามาแอบยิ้มกับตัวเองอีกทอดหนึ่ง เสียงในโทรศัพท์เป็นเสียงของคนคุ้นเคยที่มาปรึกษาเราเรื่องของชีวิต และเรายังรู้สึกติดค้างอยู่ว่าช่วยอะไรเขาไม่ได้ แม้ในความเป็นจริงเราคิดว่าเราทำดีที่สุดและปล่อยวางเรื่องราวนั้นได้ แต่ก็เป็นเพียงการปัดผ่านความรู้สึกติดค้างในหัวใจให้ไกลออกไปเท่านั้น

กลับมารู้สึกไปทั่วร่างกายของตัวในท่าที่เราเองนอนอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดเพราะอะไรแจ่มชัดเสียเหลือเกิน ร่างกายนี้ ละเอียดถี่ถ้วนมากมาย ค่อยๆไล่เรียงกันไป แต่ก็เป็นเพียงแค่อวัยวะภายนอกเท่านั้น ก่อนจะเอนตัวลงมองจนเสร็จสิ้น ก็ใช้เวลาสิบห้านาทีโดยประมาณ

นอนอิ่มพอสมควรกับสิบห้านาทีที่รู้สึกว่ามีคุณค่า แต่ความต้องการยังไม่สิ้นไป ล้มตัวลงนอนอีกแม้ว่าเหงือจะโทรมกายแล้วก็ตาม สำรวจตัวเองอย่างถ้วนทั่วร่างกาย ยังแจ่มชัดเหมือนเคย แล้วก็กลับสู่ห้วงภวังค์อันลึกยิ่งขึ้น ผวาตื่นขึ้นมาอีกประมาณ สิบห้านาทีต่อมา ควมรู้สึกตัวเริ่มดิ่งลงเพียงแต่ว่ายังไม่ลงลึกถึงภายในเท้านั้น เพียงแค่ใต้ผิวหนัง ความฝันเรื่องเดิมมาประติดประต่อกันให้ดูกลายเป็นสมจริง เรื่องงราวต่างๆนานาเกิดขึ้น ผู้ใหญ่ท่านเดิมอยากให้ช่วยสอนพิเศษให้กับใครสักคน ระหว่างคุยกับผู้ใหญ่ท่านนี้ เรานั่งอยู่ในรถ เห็นความเป็นระเบียบของตัวเองอย่างชัดเจน ไม่วายจะมีระเบียบบางอย่างแม้กระทั่งในความฝัน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะมัวขยับรถไปมาเพื่อไม่ให้ขวางทางใครๆ ใกล้จะจบเรื่อง ความฝันเปลี่ยนแปลงไป


ในร้านขายของแบบ Super store พบเพื่อนเก่าสองคนที่ไม่ได้เจอกันนานแต่ไม่นานมานี้ได้โทรศัพท์มาชวนไปกินข้าวกัน ไม่แปลกใจที่มาโผล่ในความฝัน แต่แปลกตรงที่ว่าเราเจอเพื่อนใหม่อีกคน หน้าตาไม่ชัดเจน คับคล้ายว่าเรารู้จัก และอาจเป็นคนที่เราแอบปลื้มอยู่เอาการ อาจไม่ใช่เพื่อนกลุ่มเดียวกัน แต่ทำไมถึงมาด้วยกัน เราแยกย้ายกันเพื่อซื้อข้าวของส่วนตัว เราหิวน้ำเหลือเกิน แต่เดินหาจนทั่วก็ไม่มี พบแต่น้ำอัดลมและ ผักปลา ดอกไม้ บ้างเห็นราคาติดอยู่แต่ก็จะไม่บอกเพราะอาจเอาแปรงเป็นเลขเด็ดไปเสียฉิบ เราเจอผลอโวคาโด้ไทย ป้ายเขาเขียนติดไว้อย่างนั้น รูปทรางยาวรี ไม่เห็นคล้ายผลจริงที่เราเคยได้ลิ้มลอง แล้วความฝันก็เลือนลางไป
ผู้ใหญ่คนเก่ายังคุยโทรศัพท์กับเราอยู่ เริ่มรู้สึกตัวมากขึ้นว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าอะไร แต่ก็ยังกลับไปมาระหว่างภาพการคุยโทรศัพท์และ การนอนอยู่บนเตียง สุดท้าย ผู้ใหญคนนั้นถามว่าเบอร์ที่บ้านเรานั้นเลขหมายใด เมื่อเราบอกเสร็จขณะคุยกับท่าน เสียงของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมบอกท่านว่าเบอร์นี้แหละครับ

แล้วก็ลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ ของจริงที่ดังอยู่เป็นครั้งที่สาม เสียงแม่ตามสายลอยออกมา “วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ?” ไม่ไปครับ แต่ใจจริงก็อยากจะบอกแม่ว่า ในความฝันทำให้ผมผ่อนคลายตัวเองมากกว่าการเดินทางออกไปนอกบ้านเสียอีก

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ฝากเอาไว้เตือนใจ

ฝากเอาไว้เตือนใจ
วันนี้มีโอกาสอันดีได้ไปกราบพระอาจารย์มนตรีที่วัดป่าละอูอีกครั้ง เป็นการนัดหมายที่รวดเร็วยิ่ง ต้องขอบพระคุณคุณพี่นอย และพี่นิต้าอย่างสูงที่ชักชวนไปในทางที่ถูกที่ควร

สิ่งที่ได้จากพระอาจารย์วันนี้ วันนี้ไม่ได้กราบเรียนถามข้อสงสัยแต่ประการใดกับท่านเลย แต่ท่านก็ไขเรื่องราวที่เราเป็นอยู่จากสภาวะของพระภิกษุรูปหนึ่งว่า “ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องราวของคนอื่นให้มาก กลับมาดูตัวเองนี่ สนใจเรื่องตัวเอง เอาตัวเองให้รอดก่อน ไม่ใช่ว่าไม่ให้สนใจคนอื่น แต่เอาแต่พอควร กลับมาทำงานกับตัวเองก่อน เป็นงานที่สำคัญที่สุด” ท้ายที่สุดท่านเตือนลอยๆว่า “พระหนุ่มเณรน้อยก็ระวังอิสตรีให้ดี เอ้าฟังญาติโยมเค้าบ้าง!”

เพียงแค่นี้ก็ทำให้ใจของเราสว่างวาบขึ้นทันที แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไรทำไมเวลาพบพระอาจารย์มักจะทำให้เราง่วงนอนทุกครั้งไป... วันนี้เห็นความกระสับกระส่ายของตัวเองเยอะเหมือนกันขณะฟัง รู้ว่าเบื่อ แล้วเราก็สะบัดมันออกไป ซะอย่างนั้น

ตอนต่อมาที่มีคนอื่นๆสอบอารมณ์ก็พบว่ามีประโยคที่โดนใจอยู่ดังนี้ “พวกเรามันปัญญานำ แต่ปฏิบัติยังน้อยนัก ทำมากๆซี ไม่ต้องกลัวติด” “ปฏิบัตินิ่งๆมันเน้นเอาฤทธิ์ ไม่เอา มาดูที่จิตรู้ทันใจนี่สิ ถูกต้อง อันที่ทำอยู่ไม่เอา”

วันนี้โชคดีมีโยมอุปถากเยอะเหลือเกิน ทั้งพี่นอยที่ไม่คิดค่าน้ำมันแถมขับให้ทั้งไปและกลับ อาจารย์มิที่เจอกันอย่างไม่ได้นัดหมาย แต่ใจตรงกัน เลี้ยงข้าวกลางวันร้านเดิม อนุโมทนาทุกท่านด้วยหัวใจ

ต้องทบทวนตัวเอง

กลับมาถึงกทม.ด้วยหัวใจสบายๆ แต่เริ่มตึงเล็กน้อยเพราะต้องขับรถเอง มาจอดแถวๆจตุจักรเพื่อรอเพื่อนสาว จอดรถเรียบร้อยพบสายตามองมาด้วยความแปลกประหลาด ไม่สนใจเดินต่อไปเพื่อไปรอพบเพื่อนสาว สายตาเดิมยังจับจ้องอยู่ มีอาการเหมือนเดินตามมาห่างๆ แวะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อให้พ้นจากการติดตามที่เป็นความรู้สึก เดินออกมาจากห้องน้ำ เจ้าของสายตาคุ่นั้นเดินสวนเพื่อเข้าห้องน้ำ เราเร่งฝีเท้าออกมาอีกนิด

สักพักมีเสียงตะโกน และออกติดตาม...เราหันหลังกลับอยู่ในถ้าเตรียมพร้ม ยืนอย่างผ่อนคลายหัวใจเริ่มเต้นแรง “ขอโทษครับขอเบอร์หน่อยสิ ว่างๆจะโทรหา ชอบดูท่าทางเป็นมิตรมากเลย” หัวใจยังนิ่ง อึ้งเล็กน้อย “อย่าดีกว่าครับ” คำตอบอย่างสุภาพ มือกำหลวมๆ “ขอเบอร์หน่อยสิ อยากคุยด้วยจริงๆ แต่วันนี้ไม่สะดวก” ใบหน้ายิ้มอย่างมีความหมาย “ฮึ้ย!” ความคิดในใจผุดขึ้น “อย่าดีกว่าครับ หากอยากคุยเชิญเดินคุยตรงนี้ดีกว่าครับ” แล้วเราก็เชื้อเชิญอย่างสุภาพ พร้อมออกเดิน ยังเดินตามครับ ถามนู้นนี่ ไปเรื่อย เราคุยกันอย่างดีเรื่องนู้นนี่ตามประสาคนเพิ่งเคยพบ เหมือนถูกสอบประวัติอย่างนั้น ผมก็ตอบเค้าตามความจริงนะครับแม้ว่าจะมีความไม่สบายใจเพราะความคิดมากและฟุ้งซ่านของเราอยู่ แต่ก็รู้สึกพลังที่คุณคนนี้ส่งออกมาได้เรื่อยๆและแรงเหลือเกิน

คุณคนนี้เป็นผู้ชายวัยกลางคนลงพุงแล้ว สีผมเริ่มเปลี่ยนสี สวมแว่นตา หนวดเคราโกนไม่เกลี้ยงนัก ในมือถือโทรศัพท์ตลอดเวลา... มีความรู้อยู่นเกณฑ์ดีถึงมาก รอบรู้ในหลายเรื่อง รู้สึกว่าในเรื่องของการบริหารจัดการจะรอบรู้เป็นพิเศษ

คุณคนนี้เค้าเดินตามเรามาจนถึงบันไดรถไฟฟ้า แล้วเราก็ขอตัวปลีกตัวโทรศัพท์ ใจเราเริ่มว้าวุ่น บอกให้เพื่อสาวรีบมาทันที เมื่อเราคุยโทรศัพท์เสร็จ เค้าเดินเข้ามาอีก ไม่ให้จริงๆเหรอ ขอเถอะนะ” “ อย่าดีกว่าครับ ขอบพระคุณมาก”แล้วคุณคนนี้ก็เดินจากไป
หัวใจเรายังเต้นแรงต้องมานั่งทบทวนตัวเองดีๆ ว่าทำไมหนอ เราเป็นอะไรหนอทำไมถึงดึงดูดเพศเดียวกันเสียเหลือเกิน? หรือว่าเราเองก็เป็น ผีเห็นผีมันดูกันออก???

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หาbuddy ไปเรียนดำน้ำแบบScuba

เชิญร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่
 
"อยากลงไปมองโลกใหม่ ในใต้ทะเล?
ว่ายน้ำร่วมกับปลา?
มองดูสิ่งมีชีวิตใต้พื้นสมุทร?
สนทนากับท่านเจ้าสมุทร?
พร้อมกับร่วมดูจิตใจ
หรือคุณอยากเป็น Little mermaid ในตอนเด็กๆ"
 
 
โอกาสนี้เป็นของคุณ
 มาร่วมเรียนดำน้ำ หลักสูตร Open Water ของ Padi
อันเป็นหลักสูตรดำน้ำที่โด่งดังไปทั่วโลก
 
ครั้งนี้ไม่ธรรมดาจะผสมผสาน
หลักสูตรNAUI ซึ่งเป็นหลักสูตรของทหารเข้าไปด้วย
เรียกได้ว่าครบครัน ปลอดภัย
 
"จบมาแน่น เอาตัวรอดไม่เป็นภาระให้กับใครๆ ขณะเปิดประสบการณ์ดำดิ่งสู่โลกใต้ทะเล"
 
 
เรียนที่ โรงเรียนสอนดำน้ำมนุษย์กบไทย ถนนสิรินธร ซ. ๗ (แถวๆตั้งฮั่วเส็งธนบุรี)
 
 
รายละเอียดของคุณสมบัติ
2. ใจรัก
3. เวลาว่างตรงกัน
 
 
 
สนใจติดต่อ
ภูมิ
081 587 7868

ตื้นตันในหัวใจ

นั่งกันอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างใหญ่กลางเมือง ซึ่งไม่เคยเดินมาก่อน ไปเพราะมีนัดกับเพื่อนจิตตปัญญาเพื่อพูดคุยกันเรื่องทั่วไปของชีวิตและเรื่องราวกิจการสัมมาชีพ เรื่องราวก็เป็นดังจดหมายที่เขียนถึงน้องคนนี้



สวัสดีครับ

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า น้องอาจไม่ใช่ น้องแป้ง cud 43 ที่ผมหมายถึง แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้รับรู้ความรู้สึกของผมแล้วกันนะครับ
เพราะผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากทีเดียวสำหรับการเขียนจม.นี้มาขอบคุณน้องเค้าด้วยหัวใจ

เรื่องเล็กๆมีอยู่ว่า...
วันนี้ระหว่างผมเดินซื้อโดนัทมาให้เพื่อนของผมคนในที่ห้างดัง พาราก้อน
มีหญิงสาวสวยคนหนึ่งเข้ามาทักทายผมด้วยการไหว้พร้อมยิ้มอย่างหวาน
ผมจำได้ว่าเธอคนนี้เห็นมากับเพื่อนๆในร้านอาหารที่ผมกะเพื่อนนั่งคุยงานกันอยู่อย่างเสียงดัง

น้องคนนั้น: พี่สวัสดีค่ะ
ผม: ครับสวัสดี (ผมไม่แน่ใจว่ารู้จักกันที่ใด?)
น้องคนนั้น: เด็กสาธิตจุฬาคะ หนูจำพี่ได้
ผม: อ่อครับ รุ่นไหนครับ
น้องคนนั้น: 43 ค่ะ
ผม: ชื่ออะไรนะครับ
น้องคนนั้น: แป้งค่ะ
ผม: ขอบคุณนะครับที่ทักกัน

ระหว่างเดินจากมาผมรู้สึกว่าผมน่าจะถามสาระทุกข์น้องแป้งให้มากกว่านี้
ผมเลยตามหาว่าเธอคนนี้เพื่อบอกเล่าความรู้สึกที่ผมมี
บางทีน้องที่อ่านอาจจะใช่น้องแป้งก็ได้
แต่ถึงไม่ใช่ ผมก็อยากบอกกะน้องว่า

แค่นี้แหละครับเหตุการณ์ที่ผมเจอ ไม่น่าเกินสิบวินาที
แต่มันทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองอย่างมาก ความรู้สึกที่หัวใจผมพองโต

ด้วยเพราะสาวสวยมาทัก และที่สำคัญเป็นน้องโรงเรียนเดียวกันซึ่งจำผมได้
อยากบอกว่าการกระทำเล็กๆ เพียงแค่การทักทายกัน ยิ้มละไมให้แก่กัน
มันก็สร้างความสุขในใจของคนได้ และแน่นอนมันสร้างความสุขให้กับโลกเช่นกัน

ขอบคุณมากครับ
ธนวัฒน์ ธรรมโชติ (ภูมิ)
สาธิตจุฬารุ่น ๓๘

ปล. หากไม่ใช่น้องแป้งที่ผมเจอก็ขออภัยด้วยนะครับ แต่อยากให้รู้ว่าสิ่งเล็กๆที่นอ้งแป้งทำนั้นก็สร้างโลกของผมให้สวยได้

ความรู้สึกที่มีมันมากเสียเหลือเกินไม่รู้ว่าเป็นเพราะประทับในในการกระทำของน้อง หรือว่าเป็นเพราะความสวยของน้องเค้ากันแน่ แต่ผมว่าอาจเป็นอย่างหลัง... จนทำให้ต้องตามหาน้อง พริ้มเพรา สารสิน คนนี้

ผู้สังเกตการณ์

ผู้สังเกตการณ์
วันนี้ตัดสินใจไม่นำรถออกมาเพราะเหตผลหลายประการ เพื่อที่จะหยุดตัวเองจากความเครียดในการขับรถ รับรู้ได้ถึงร่างกายที่ว่าไม่เป็นปกติในส่วนกระดูกสันหลังอันเนื่องมาจากท่าทางในการนั่งขับรถมานานๆ ความรู้สึกหยิ่งผยองภายในกับการมีรถเป็นเครื่องบ่งบอกความ”มี” ซึ่งทำให้ความเป็นอัตตาของเราเพิ่มขึ้นอีกนิด ความต้องการที่จะพาตัวเองเคลื่อนตัวเข้าไปสู่สังคมคือลดพื้นที่แห่งความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัยให้กับตัวเอง ความคุ้มค่าของการเดินทางซึ่งเดินทางเพียงคนเดียวเท่านั้นพลังงานที่จะสูญสิ้นไปอาจมากมายจนเกินไป

แน่นอนความรู้สึกไม่ปลอดภัยภายในย่อมมี เป็นเรื่องดีที่สังเกตเห็นได้ ความกลัวการลำบากต่างๆนานนาที่เริ่มประดังเมื่อตัดสินใจปิดประตูบ้าน เจอแดดร้อนเปรี้ยง และท้องฟ้าที่อึมครึมอยู่ แน่นอนร่มในมือที่เตรียมไว้อาจช่วยได้ แต่รองเท้าที่เราหวงอาจเปียกปอนเปรอะเปื้อนจากสายฝนที่อาจตกได้วันนี้ ความไม่แน่ในหัวใจเริ่มประดังเข้ามา เห็นได้ชัดว่าใจหนึ่งต้องการความแน่นอนและสะดวกสะบายจึงคิดจะเปิดบ้านเพื่อนำรถออกไป เมื่อเห็นเท่านั้นจึงผละออกจากความคิดนั้นแล้วก้าวเดินู่โลกพร้อมมองความรู้สึกของตัว

ความอึดอัดเริ่มมีในใจเมื่อขึ้นรถโดยสารที่รับส่งผู้คนภายในซอยออกสู่ถนนใหญ่ มันอึกอัดเพราะการมัวแต่เฝ้ามองดูตัวเองอย่างจับจ้องเกินไป ความเครียดในใจมันก็บังเกิด พ่นลมออกจากปาก สักสองสามครั้ง แล้วปล่อยให้จิตไหลออกไปตามเรื่องราวสบายขึ้น มารู้สึกตัวอีกทีเมือ่ตัวเองก้าวเดินเพื่อไปรอรถประจำทางสาธารณะที่จะพามุ่งสู่เป้าหมาย

มองดูเวลายังมอีกมาก แวะหาอะไรใส่ท้องก่อนเพื่อเพื่อจะได้คลายความทรมานของร่างกาย ระหว่างกินซึ่งโดยปกติเราอาจต้องสั่งอีกชามเพื่อเติมช่องว่างในกระเพาะให้เต็ม หวนถึงความอึดอัดที่เคยมี ดูตัวเองแท้จริงแล้วก็รู้ว่า ดื่มน้ำสักแก้ว ซดน้ำซุบในชามให้หมดน่าจะเต็มความต้องการนั้นไปได้ ยืดเวลาดูตัวเองอีกนิด และเมื่อใกล้หมดก็พบว่ามันพอดีไม่อิ่มมากจนเกินไป เห็นความอยากที่มากขึ้น จึงจ่ายสตางค์แล้วออกเดินทาง

เวลาก็ยังเหลือ เยอะตัดสินใจขึ้นรถประจำทางปรับอากาศเพื่อจะนั่งให้ระยะทางนั้นไกลขึ้น เลือกที่จะไม่นั่งรถไฟฟ้า เพราะรถไฟฟ้าทำให้เรารีบเหลือเกิน บนรถประจำทางสาย ๒๖ ค่าโดยสาร ๑๑ บาท โดยไม่ต้องเสียเงินค่ารถไฟฟ้าเพิ่ม อาจใช้เวลามากหน่อย ความเคยชินเดิมๆที่เร่งรีบภายในก็ทำให้เราอึดอัดเพราะการจราจรที่ติดขัดพอตัว ความหงุดหงิดก็ย่อมมี เลือกที่จะปล่อยให้ภาวะมันเกิดโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันไม่ปัดหรือขัดขวาง ทอดอารมณ์ให้ออกไปจากความอึดอัด มองออกไปนอกหน้าต่าง อย่างเหม่อบางๆ

ช่องซ้ายสุดของถนนขณะรถติดไฟแดงอยู่ตรงแยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รถยนต์ยี่ผุ่นคันหนึ่งอายุไม่น่าจะต่ำกว่า ๒๐ปีแต่สียังดูใหม่ ความคิดก็เกิดว่า อาจเพราะความใส่ใจของผู้เป็นเจ้าของ รถคันนั้นเปิดไฟกระพริบอยู่ คุณป้าคนหนึ่งเดินลงจากรถมาก หิ้วถุงพลาสติกและกระเป๋าถือ ถัดออกไปอีกหน่อยมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งรับผู้โดยสารแล้วค่อยๆเคลื่อนในระยะกระชั้นออกมาขวางหน้ารถเพื่อเข้าสู่ช่องทางขวามือ รถยนต์คันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ สะกิดกัน ผู้โดยสารหลังมอเตอร์ไซค์คันนั้นมองหน้าคนขับรถยนต์อย่างไม่พอในนัก คนขี่ก็หันมามองรถตัวเอง พร้มอส่ายหัวไปมา ดูแล้วจะไม่เป็นอะไรมาก

ความไม่พอใจของผู้โดยสาร และคนขับ ความตระหนกตกใจของคนขับรถยนต์ที่ลงมาดูความเสียหายของรถมอเตอร์ไซค์ก่อนรถตัวเอง เอ...เป็นความรู้สึกของเขาหรือว่าเป็นเพียงเพราะท่าทางที่ทำให้เรารู้สึกแทนเขาอย่างไหนกันแน่?

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน

“อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน เกียรติเรืองขจรแต่ก่อนนี้ยัง เผ้ามองความหลังซากปรักหักพัง...ในเมืองอยุธยา”เพลงแท้ๆแบบแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้ร้องอย่างนี้แต่ประการใด คงมีแต่ท่อนแรกเท่านั้นที่เป็นเพลงที่ติดอยู่ในโสตประสาทของใครหลายคน วันนี้เราเดินทางไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพร ขอพลังที่อดีตเมืองหลวงของเรามายาวนานกว่า ๔๐๐ ปี


เดินทางไปด้วยกัน ๔ ชีวิตหนึ่งผู้เฒ่า หนึ่งใกล้เฒ่า สองวัยสะรุ่น ขับรถวกไปวนมาเพราะไม่แน่ใจในเส้นทาง อารมณ์ของคนขับก็ไม่แน่นอน แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดมากมากนัก ไม่ได้โมโหแบบกระฟัดกระเฟียดใสอารมณ์เหมือนก่อน เราเริ่มต้นที่วัดใหญ่ชัยมงคล ไปกราบไหว้ขอพรพระท่าน เรารู้สึกดีเหมือนกัน แต่อยากให้มีเวลาให้มากกว่านี้ ท้องห้าโปร่งโล่งกว่านี้เพื่อที่จะได้เดินไปชมให้ได้ถ้วนทั่วบริเวณวัด องค์เจดีย์ สถูป พระพุทธรูป ต่างๆ ความรู้สึกของทุกอณูอิฐหิน เหมือนมีจิตวิญญาณที่บ่มเพาะอายุมายาวนาน พระพักตร์พระพุทธรูปหลายองค์พบรอยยิ้มเล็กๆ มองแล้วเลื่อมใสเป็นสุขดี แต่หลายองค์ก็ดูเคร่งขรึมเสียเหลือเกิน

ข้างคูที่ล้อมรอบวัดใหญ่ชัยมงคลนั้นเป็นศาลของพระบามสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งรอบอาคารก็เต็มไปด้วยไก่ ตัวเล็กตัวใหญ่ต่างๆกันไป ที่ซุ้มประตูทางเข้าก็มีไก่ ยืนเด่นเป็นสง่าเหมือนพนักงานต้อนรับอย่างนั้นทีเดียว ภายในอาคารนั้นมีองค์ท่านในท่านั่งหลั่งทักสิโนทก ตั้งสัจจาทิษฐานกับผืนแผ่นดินว่าจะเอาบ้านเมืองคืนมา เรารู้สึกว่าเราเองมีพลังที่จะทำอะไรหลายอย่างเพื่อบ้านเมืองไทยอีกมากโข
บ่ายแก่แล้วแวะทานข้าวอย่างง่ายๆที่ข้างวัด แล้วก็ออกเดินทาง ขับรถหลงไปมาอยู่ในจังหวัดนั้นแหละ แต่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเราก็คือ วัดมงคลบอพิศ เมื่อเช้าดูข่าว มีsms จากทางบ้านบอกว่า “อยุธยาอากาศดี๋ดี” แต่ฝนก็ตกพรำไปตลอดทั่วทั้งบริเวณจังหวัด บวกกับเป็นวันธรรดาร้านรวงต่างๆบริเวณที่จอดรถนั้นก็เงียบเหงาไป แต่ก็ดี เราได้ใกล้ชิดและสัมผัสพลังต่างของสิ่งที่สถิตอยู่ ณ ที่นั้นได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้เราได้รับรู้ได้ว่าความยิ่งใหญ่ ความหวงแหนของเหล่านี้ในตัวเรานั้นมากเพียงใด


เพียงสองวัดเท่านั้นสำหรับการเดินทางไปไหว้พระเพียงครึ่งวัน ก็สามารถซึมซับพลังของความเก่าแก่และสืบเนื่องของบ้านเมืองในอดีตได้เป็นอย่างดี แต่ยังสงสัยว่า”อยุธยาอากาศดี๊ดี” นี่ดีอย่างไร?

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แมวเหมียว

สิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆเป็นของขวัญล้ำค่ายิ่งของโลก สรรพชีวิตที่บริสุทธิ์ ไร้พิษภัยในตัวเอง สัญชาติญาณยังไม่เกิดมากนัก ความน่ากลัวของเจ้าจึงยังไม่ใคร่มี

ลูกแมวน้อยสามชีวิต ตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดู อายุใกล้จะครบเดือน สามสี ขนปุกปุย นัยตาสีออกเทา ความน่ารักของเจ้าทำให้โลกในหัวใจที่อึมครึมกลับสดใสน่ามอง เป็นพลังของสิ่งมีชีวิตที่เพ่งเกิดใหม่ เป็นดั่งพลังชีวิตที่เริงร่าเปี่ยมไปด้วยพลังมากมาย ที่พลอยให้ผู้ดูรู้สึกสดใสมีพลังเช่นกัน

ทำอย่างไรหนอ ภาวะแห่งการเกิดใหม่ของจิตใจ อันเป็นรูปลักษณะเดิมแท้ของจิตใจนั้นจะคงอยู่ได้เนิ่นนาน เป็นจิตที่สว่าง ที่สงบ ที่ผ่องใส เหมาะควรแก่การงาน แล้วพัฒนาไปสู่จิตใหญ่ที่จะสรรสร้างสังคมรอบตัวให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แม่

๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒
วันนี้ดีใจจัง ดีใจมาก เพราะได้อยู่กับครอบครัวจริงจังๆ
แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ เราทำให้แม่ได้สั่นคลอนกับการเป็นหนูของเขาได้แล้ว

แม้ว่าจุดเริ่มต้นการการนำเสนอจะให้กับอาของเราที่เป็นถึงผู้บริหารระดับหนึ่งขององค์กร
แต่แล้วก็กลับไม่สนใจ เรื่องราวอย่างนี้ เพราะเห็นราคาอันน่ากลัวของค่าตัวกระบวนกร
พร้อมบอกว่า “ราคาขนาดนี้เอาเงินไปทำถนนดีกว่า”
ฃ เรารู้สึกแย่แต่ก็ไม่เป็นอะไรเพราะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว
เพียงแค่เสนอดูเพื่อจะเป็นเวลาของเขา

อย่างไรก็ตามเราก็ทำให้คนหนึ่งรู้สึกสั่นคลอนก็ด้วยความเป็นหนูของแม่เราเองนี่แหละ
ที่ทำให้แม่มาอ่านและก็น้ำตาซึมๆกับความเป็นตัวเองของแม่

แล้วสักวันหนึ่งเราคงจะพาแม่เข้ามาดูแลจิตใจของแม่ได้
จะเป็นเรื่องดีของชีวิตหนึ่งที่ได้กลับมาดูแลด้านในของตัวเอง
และคงมีความสำคัญมากกับเราที่พาคนนี้กลับมารู้สึกตัวเองได้


เพราะเขาคือแม่ของเรา
วันนี้ดีใจจัง ดีใจมาก เพราะได้อยู่กับครอบครัวจริงจังๆ
แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ เราทำให้แม่ได้สั่นคลอนกับการเป็นหนูของเขาได้แล้ว

แม้ว่าจุดเริ่มต้นการการนำเสนอจะให้กับอาของเราที่เป็นถึงผู้บริหารระดับหนึ่งขององค์กร
แต่แล้วก็กลับไม่สนใจ เรื่องราวอย่างนี้ เพราะเห็นราคาอันน่ากลัวของค่าตัวกระบวนกร
พร้อมบอกว่า “ราคาขนาดนี้เอาเงินไปทำถนนดีกว่า”
ฃ เรารู้สึกแย่แต่ก็ไม่เป็นอะไรเพราะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว
เพียงแค่เสนอดูเพื่อจะเป็นเวลาของเขา

อย่างไรก็ตามเราก็ทำให้คนหนึ่งรู้สึกสั่นคลอนก็ด้วยความเป็นหนูของแม่เราเองนี่แหละ
ที่ทำให้แม่มาอ่านและก็น้ำตาซึมๆกับความเป็นตัวเองของแม่

แล้วสักวันหนึ่งเราคงจะพาแม่เข้ามาดูแลจิตใจของแม่ได้
จะเป็นเรื่องดีของชีวิตหนึ่งที่ได้กลับมาดูแลด้านในของตัวเอง
และคงมีความสำคัญมากกับเราที่พาคนนี้กลับมารู้สึกตัวเองได้


เพราะเขาคือแม่ของเรา

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

youth inspiration camp



การจัดกิจกรรม ครั้งนี้เป็นเสมือนการเรียนรู้แบบ Project Based Learning ของทีมและของตัวเอง เป็นการเรียนรู้ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นคิด ทำ แก้ปัญหา สรุปผล ปรับปรุงต่างๆนานา เรียกได้ว่าเปิดโลกของชีวิตการทำงานที่เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง

จากความรักของ “แม่” หรือ”โลก” ที่คอยโอบอุ้มเกื้อกูลสรรพสิ่งที่อยู่ในตัวเธออันเป็นเสมือนเหล่าเซลต่างๆที่เคลื่อนที่เคลื่อนไหว ประกอบกันเป็นสิ่งต่างๆบนโลก Gaia (กาญ่า) ชื่อของเทพที่เป็นเสมือนแม่ผู้ดูแลโลกใบนี้ จึงได้นำมาใช้เป็นเครื่องเตือนใจเหล่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ หรือ่านเป็นสำเนียงไทยๆว่า “กายา” อันหมายถึงความเป็นเนื้อเป็นตัว นั่นเอง

Gaia Education เริ่มต้นจากคนหนุ่มสาวที่มีความฝันที่อย่างจะทำอะไรเพื่อสังคม อยากที่จะเปลี่ยนแปลง คนหนุ่มสาวเหล่านี้ได้รับการเกื้อกูลจากครูอาจารย์ ที่เรียกได้ว่าเป็นกัลยาณมิตรคอยชี้แนะและส่งเสริมสนับสนุนให้ความฝันของพวกเราได้เกิดขึ้น อาจารย์ณัฐฬส วังวิญญู ผู้อำนวยการสถานบันขวัญแผ่นดิน และอาจารย์ธนัญธร เปรมใจชื่น ผู้ก่อตั้งสถาบันThe present (ของขวัญแห่งปัจจุบันขณะ) สองสถาบันการศึกษานอกระบบที่คอยเกื้อกูลเรี่ยวแรง กำลังทรัพย์และเป็นพี่เลี้ยงอยู่เสมอมา

กิจกรรมนี้เกิดจากคนคนหนุ่มสาวไม่กี่คนที่มีแรงบันดาลใจ มีความฝันอยากจะจัดกิจกรรมดีๆให้กับเยาวชน ที่ไร้แรงบันดาลใจขาดความเชื่อมั่นเพราะกระแสสังคมที่กดทับและบดบังจนไม่เหลือพื้นที่ให้เสียงเล็กๆ อันเป็นเสียงแห่งความต้องการเดิมแท้ของตัวเองนั้นได้ถูกรับฟัง จนต้องผันพลังแห่งความต้องการเดิมแท้ของตนเองเหล่านั้นให้กลับสู่ด้านที่มืดมน อันเป็นการเรียกร้องความมสนใจ หรือเป็นการต่อต้านการกดทับนั้นด้วยความรุนแรง อย่างที่เรียกว่า”แรงมาแรงกลับ” การเปิดพื้นที่ให้กับเยาวชนเหล่านั้นมีพื้นที่ให้ได้แสดงออกอย่างถูกต้อง การเยียวยาเซลเล็กๆที่กำลังจะเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นเซลที่มีหน้าที่มาขับเคลื่อนโลกต่อไปจึงเริ่มต้นขึ้น และครั้งนี้ไม่ใช่การทำงานอาสาอย่างที่เราเคยทำๆกันมา เพราะเราคิดกันว่าด้วยความเป็นสัมมาอาชีวะ การทำให้คนก่อเกิดพลังในตัวเองนั้นก็เป็นเครื่องหนุนนำทางธรรมให้ก้าวหน้า แต่ทางโลกนั้นเราอาจต้องเบียดเบียนตนเองเกินไป งานครั้งนี้เราควรจะได้รับค่าเลี้ยงชีพบ้างตามสมมควร

จากปัญหาของการปิดพื้นที่กลายความเป็นปกติของสังคม สังคมที่บีบบดกระแสเสียงตัวตนภายใน ซึ่งแน่นอนย่อมกระเทือนถึงเยาวชนเช่นกัน โจทย์งานก็เริ่มขึ้น คือการเปิดพื้นที่เหล่านี้ขึ้นเพื่อให้เสียงเล็กๆได้รับการ”ฟัง” อย่างแท้จริง การสร้างคุณค่าในตัวเอง ค้นหาตัวเอง การรักและเคารพตัวเองและสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเองจึงกลายมาเป็นโจทย์สำคัญของกิจกรรมนี้ ไม่เถียงว่าเหล่าผู้จัดเองก็เคยเป็นกลุ่มหนึ่งที่ถูกกระทำจากสังคมเช่นกัน

กระบวนกรรับเชิญเป็นผู้ที่คร่ำหวอดในการเยียวยาเยาวชนเป็นอย่างมาก ซึ่งได้รับการน้อมเชิญของเหล่าผู้จัดอย่างยินดีและเต็มใจ อ.ธนัญธร เปรมใจชื่น (อ.น้อง) นักศิลปะบำบัดที่เชี่ยวชาญในการทำงานร่วมกับเด็กๆมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานเกี่ยวกับเด็กที่ต้องโทษ หรืออยู่ในสถานพินิจ ฉะนั้นเด็กในเมืองซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกิจกรรมนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากแต่ประการใด
การทำงานครั้งนี้เราต้องมีเรื่องราวของ “เงิน” เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างช่วยไม่ได้ เพราะการตั้งเป้าว่าจะต้องมีเงินพอเลี้ยงตัวของเราได้ไม่เข้าเนื้อ ความเครียดจึงเริ่มมีในมวลหมู่ผู้จัดกิจกรรม จากที่เคยไม่ต้องการเงินเป็นการตอบแทนจากกิจกรรมเหล่านี้ “เงิน” ก็จึงกลับกลายมาเป็นประเด็นหลักอันหนึ่งในช่วงก่อนและหลังการทำงาน ความคุ้มทุนอยู่ที่เท่าไหร่? จากที่ตั้งเป้าเอาไว้ 30 คน จำนวนผู้เข้าร่วมจ่ายเต็มจริงแค่ 7 บวกกับที่เป็นผู้มาด้วยการรับทุนอีก 5 รวมเป็น 12 คน แม้ว่าจะช่วยกันหาผู้เข้าร่วมทุกทาง เพียงพอหรือไม่กับการจัด จะเข้าเนื้อหรือไม่ ความเครียดในเรื่องพวกนี้ก็อุบัติขึ้นกลางใจ ความหวั่นไหว ก็เข้ามาเยี่ยมเยือนในหัวใจ หน้าที่ต่อไปเป็นหน้าที่ของกัลยาณมิตร ที่เข้ามาให้กำลังใจ และสนับสนุน กำลังใจเหล่านี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงด้านในให้มีพลัง ทั้งจากกันและกัน ผู้ให้ใช้สถานที่ และครูอาจารย์ที่เข้าใจออกเงินส่วนตัวให้กิจกรรมเหล่านี้ได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงงานให้ก้าวเดินต่อไป แน่นอนทั้งผู้จัด ครูอาจารย์ และผู้ให้ใช้สถานที่ต่างมีแรงบันดาลใจอย่างเดียวกัน

เมื่อปัญหาของความคุ้มทุนในด้านการเงินถูกแก้ไข พลังจากภายใน เพื่อการสร้างแรงบันดาลใจก็กลับฟื้นคืน ออกเดินหน้าทำงานตามความฝันอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ หน้าที่ต่างๆถูกแบ่งออกไปอย่างมีระบบและค่อนข้างมีประสิทธิภาพเพราะงานทั้งหมดล้วนเลือกจากความสมัครใจ ฉะนั้นงานจึงเดินหน้าด้วยความไว้วางใจจากหัวใจเช่นกัน

เมื่อผู้เข้าร่วมกิจกรรมมาถึง จากการบังคับ ลากจูงมาเพื่อให้เข้าร่วมกิจกรรม อีกทั้งจากการมาสู่สถานที่แห่งใหม่ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยภายในใจจริงมีมาก ท่าทีต่อการเข้าร่วมย่อมเป็นไปในด้านไม่ดีนัก เงียบบ้าง ป่วนบ้าง ลองดี ท้าทาย สาระพัดจึงเกิดขึ้น ไม่เป็นปัญหาสำหรับการเข้าใจและรับฟังของอาจารย์ผู้จัดกิจกรรม เพราะเป็นอย่างนี้เสมอๆ กิจกรรมแรกการแนะนำตัวเองอย่างสนุกๆ เกมเล็กน้อยๆ ก็ค่อยๆทะลุกำแพงของหัวใจของใครหลายคน การยอมรับ ให้โอกาส เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสะเดาะโซ่ตรวญแห่งหัวใจนี้ลงได้

การแสดงออกความเป็นตัวเองผ่านกระดาษหนึ่งแผ่น ที่ไม่ต้องเขียนอะไรให้ยุ่งอยากเพียงแต่แสดงความเป็นตัวเองออกมาให้มากที่สุด พับแล้วรีดให้เรียบ ฉีก ขย้ำ พับแล้วรีบให้เรียบ ฉีก ขย่ำ ฉีก ฉีก ฉีก ฟาดกระดาษกับพื้น แสดงความเป็นตัวตนออกมา เสียงระฆังดังขึ้น...ก้องกังวาน ทุกคนอยู่ในความสงบแล้วยิ้มให้กับตัวเอง วงแห่งความไว้ใจก็เปิดรับผู้เข้าร่วมอีกหลายคน การแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองจากกระดาษที่แทนความหมายของตัวเองก็เริ่มขึ้น พร้อมอ่างน้ำตา เสียงหัวเราะกลบความจริง ใบหน้านิ่งๆแต่แววตากลิ้งกลอกไม่มั่นใจ

กระดาษหน้าเดียว ถูกนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมุดทำมือของตัวเองก็เกิดขึ้น เป็นสมุดที่เอาไว้เขียนความประทับใจ เขียนบันทึกเสียของตัวเองไว้ภายใน เป็นพื้นที่ปลอดภัยของตนเอง เสียงเพลงเบาๆ การแบ่งปันสิ่ง น้ำใจเล็กๆก็แสดงให้เห็น หยิบยื่นให้แก่กัน

ช่วงค่ำ จับคู่พูดคุยเรื่อง”ความฝัน”ของตัวเองเกิดขึ้นจากกิจกรรมง่ายๆ คุณค่าแห่งการรับฟังเกิดขึ้น น้ำตาหยดลงกับพื้นไม่ชัดเจนผ่านแสงเทียนสลัวๆ รวมกันเข้าฟังวิเคราะห์ถึงอุปสรรค์ที่ไม่ก่อให้ความฝันนั้นเกิดขึ้น ล้วนแล้วเป็นการปิดพื้นที่การไม่รับฟังกันทั้งสิ้น การไม่เข้าใจ ไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างถูกต้อง จากผู้เลี้ยงดูที่ไม่กล้าจะอ่อนโยนตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยจวบย่างเข้าสู่วัยรุ่น วันแรกวงสนทนาก็ยาวออกไปกว่าที่ตั้งใจไว้เกือบชั่งโมง

อรุณรุ่ง ไม่มีการบังคับให้ตื่นเพียงบอกเวลาอาหารที่พร้อมกินเริ่มต้นเมื่อไหร่ และบอกเวลาเริ่มร่วมกัน ทุกคนมาตรงเวลา นอนไม่หลับบ้าง อยากกลับบ้านบ้าง ร้องไห้บ้างสำหรับหัวใจดวงเล็กๆ ทุกคนรับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช เช้านี้สมุดเล่มน้อยใช้เป็นประโยชน์ บทกวีจากหัวใจ อันเกิดจากแรงบันดาลใจของตัวเองเริ่มขึ้น บทแล้วบทเล่า ยังติดกับฉัทลักษณ์จนความงามในจิตใจติดขัด เพราะคลังคำของเจ้ายังน้อยนัก ไม่เป็นไร มีเพียงความชื่นชม

เสียงหัวเราะ กลุ่มก้อนเดียวกันเริ่มเห็นมากขึ้น อาจเพราะเป็นเด็กความไว้วางใจจึงง่าย บ่ายนี้เล่นเรื่องราวของ “สัตว์สี่ทิศ” ดูตัวเองด้วยความสื่อสัตย์ว่าบุคลิกเราเป็นอย่างไร ลักษณะภายในเดียวกันอยู่ด้วยกัน รับรู้ถึงพลังของกันและกัน แม้ว่าการแสดงออกจะต่างกันบ้างบ้างเงียบ บ้างร้อนแรงอย่างทรงพลัง เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลที่จะแยกให้ชัดเจนด้วยการป้อมคำถาม เปิดโอกาสให้เดินไปตามกลุ่มที่ไม่มั่นใจอย่างไม่มีความผิด

ค่ำคืนนี้เราดูภาพยนต์ เรื่อง The Corus ร่วมกัน ภาพยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยเนื้อหาแห่งคุณค่าภายในของมนุษย์ และแลกเปลี่ยนแสดงทัศนะต่อเรื่องราวร่วมกัน เป็นการรับฟังอย่างไม่มีการตัดสินผิดถูก เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน และเป็นการเรียนรู้กันและกัน โลกของความคิดถูกเปิดกว้างยิ่งขึ้นไป เป็นการยกระดับ หมุนเกียวความคิดขึ้นไปสูงขึ้นๆ วันนี้วงคุยหลังกิจกรรมยาวออกไปอีกมาก
เช้าวันใหม่ กวีวัจน์ จากหัวใจได้พัฒนาขึ้น ไร้แบบแผนแต่กลั่นออกมาด้วยความสดใหม่ ทรงพลังยิ่งขึ้น นั่นเป็นการพัฒนาศักยภาพและแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง กิจกรรม Paper Marché จากวัสดุที่ดึงดูดใจเรา ก้อนหิน กิ่งไม้ และ เศษขยะ ทั้งหมดถูกนำมาติดต่อกันเป็นงานศิลปะพันเชื่อมกันเข้าด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ไม่มีรูปแบบ เป็นจิตนการล้วนๆ รอยยิ้มกว้างขึ้น ไร้กรอบกฏเกณฑ์ทางความงามแบบวิทยาศาสตร์

บ่ายนี้เราออกไปเที่ยว เล่นน้ำ ร้อยพันรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความอ่อนโยน การดูแลกันและกัน ของทั้งผู้เข้าร่วม และทีมผู้จัด กิจกรรมต่างๆ เล่นกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว คุณค่าในตัวเองของใครหลายคนแสดงออกมาใจ ฝนตกกระหน่ำลงมา ตัดสินใจกลับที่พักอย่างทันที คนละไม้คนละมือ เป็นการร่วมแรงร่วมใจ คนโตดูแลคนเล็ก คนเล็กก็ดูแลคนโต เด็กๆ ผู้จัดเอง คนอื่นๆที่มองเห็นก็ชื่นใจ ความรักจากหัวใจเริ่มเบ่งบานออกไปสู่สังคมรอบกาย

ความเหนื่อยอ่อนของร่างกายจากการเล่นน้ำอย่างสนุก และ ลงแรงช่วยกันขนของกลับที่พักยังคงอยู่ คืนนี้เราจึงให้ของขวัญแก่กัน ความประทับใจที่มีต่อกัน ทั้งน้ำตา รอยยิ้ม อ้อมกอดอุ่นๆ กอดกัน ให้ของขวัญ เป็น”กำลังใจ” ค่ำคืนนี้ ทั้งน้ำตา วงพูดคุยยาวต่อเนื่อง จนล่วงเข้าวันใหม่

เช้านี้กิจกรรมสามฐาน คิด ใจ และกาย กับการพัฒนาการของหัวสมอง ทั้งสามส่วนหลัก คิดเตรียมพร้อมกับสถานการณ์วิกฤติที่อาจจะเกิดจากภัยธรรมชาติ ที่อาจเกิดขึ้นเพราะการปรับและรักษาตัวเองของโลก จะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร หัวใจที่เปิดกว้างขึ้นกว่าเดิม การส่งเสียงออกมาเป็นการบรรเทาและการเปิดหัวใจให้มีความกล้าเล็กๆที่จะพัฒนาต่อไป ฐานกายกับกิจกรรมผจญภัยง่ายๆ ซึ่งเกิดจากความร่วมร่วม และการสำรวจร่างกายเพื่อเพิ่มพลังให้กับเซลต่างๆ การทำบ่อยๆเป็นการจดจำของกล้ามเนื้อ และเซลเช่นกัน สรุปบทเรียนจากประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมเอง เป็นอีกหน้าที่หนึ่งของกระบวนกร

ตกบ่ายระบายสีงาน Paper Mache ที่ทำเอาไว้ จากแม่สีสามสี และ สีขาวอีกหนึ่ง ทั้งผู้เข้าร่วมและผู้จัดก็ได้เรียนรู้ การผสมผสานสิ่งๆต่างๆเพื่อผลงานอย่างหนึ่ง ระหว่างรองานแห้ง เกมเล็กๆที่เน้นฐานกายก็เรียกเสียงหัวเราะและหยาดเหงื่อได้เป็นอย่างดี งานเสร็จแล้ว

ค่ำคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย อาหารเย็นนี้จึงเป็นฝีมือของเด็กๆส่วนหนึ่ง “ไก่ย่าง” ไก่สด เกลือหนึ่งถ้วย และไม้ขีดไฟ เศษฟืน กองไฟ ต้องสร้างขึ้นเอง ไม่มีการแข่งขัน มีแต่การช่วยเหลือกันระหว่างกลุ่ม กลุ่มหนึ่งติดไฟไม่ได้อีกกลุ่มมาช่วย กลุ่มหนึ่งไม่เคยทำอาหารอีกกลุ่มมาช่วยดู สมาชิกในกลุ่มก็หยิบยื่นน้ำเย็นเป็นการตอบแทน “น้ำใจ”

ไก่ตรงหน้ามาจากไก่สี่ตัว ย่างคล้ายๆกัน เค็มมาก เค็มน้อยพอๆกัน ทุกตัวอร่อยเท่ากัน เพราะทุกตัวเป็นฝีมือของตัวเอง เป็นคุณค่าภายในตนเอง การแบ่งปัน ส่วนต่างๆออกไป ให้คนอื่น สุกบ้างไม่สุกบ้าง อิ่มกาย อิ่มใจ

ก่อนลาจากเราให้ของขวัญกันเช่นเดิม เป็นการขอบคุณและขอโทษ สิ่งต่างๆออกมาจากหัวใจ และกล้าหาญ กล้าที่จะบอกความจริงแก่กันตามจริง ไม่ถือโทษโกรธกัน อภัยกันและกัน สร้างคุณค่าย้ำความมีคุณค่าให้กับตัวเองและทุกคน คืนสุดท้าย กลุ่มก้อนเดียวกัน มองดูเวลา อีกสามชั่วโมงอาทิตย์คงจะขึ้น

เช้านี้กวีดีๆมากมายเกิดขึ้น หลายคนหลุดออกจากกรอบที่ถูกครอบงำ ล้วนเป็นบ่งบอกการคร่ำครวญถึงประสบการณ์ดีๆตลอดช่วงเวลาที่เกิดขึ้น จดหมายที่เขียนให้เพื่อนที่แสนดีที่สุดของเราเอง ”ตัวเอง” เด็กน้อยที่สุดอยู่กลางวง พี่โตยืนล้อมรอบเป็นเกลียว เสมือนการเติบโตของช่วงอายุ ความกล้าหาญในการอ่านจดหมายที่จ่าหน้าถึงตัวเองด้วยความรักและความอ่อนโยนในหัวใจ เรียกน้ำตาของทุกคนได้ เป็นการสะเทือนเขาไปถึงข้างในหัวใจของทุกช่วงอายุ ผู้ปกครองบางคนมารับลูกลับก็ได้รับโอกาสให้ส่งเสียง เจ้าของสถานที่ พี่เลี้ยง เสียงของทุกคนล้วนเป็นเสียงที่สำคัญ


สุดท้าย เป็นการมอบของขวัญให้กับอาจารย์ ที่ใกล้วันเกิดท่านเต็มที เป็นการมอบของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่เป็นการมอบให้กับผู้มีพระคุณ คำอวยพร และอ้อมกอดที่กลั่นออกมาจากหัวใจทุกคน

รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ยังมีรอยยิ้ม น้ำใจที่แสดงออกเพิ่มเติม เรียกได้ว่าเป็นที่ประทับใจของทุกสายตาที่พบเห็น อิ่มแล้วเด็กๆมุ่งหน้าไปที่ห้องครัวกล่าวยกมือไหว้คำขอบคุณให้กับผู้อำนวยความสะดวกของเราทั้งหลาย เจ้าหน้าที่ พนักงาน น้ำตาของพี่ๆเหล่านั้นเจิ่งนอง ด้วยความยินดี มีคุณค่ากับงานที่ทำ

อาจไม่ต้องกล่าวสรุปแต่ประการใดในผลลัพท์ที่เกิดขึ้นต่อตัวเองกับ Youth Inspiration Camp ที่ วังดุม เมาเทน แค็มพ์ ทุกกิจกรรมที่จัดขึ้นจากความเชื่อ “มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์มีคุณค่าในตัวเอง และเชื่อมั่นในกิจกรรมดีๆของเรา” ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา การสร้างคุณค่าให้และเปลี่ยนเป็นแรงแห่งการสร้างแรงบันดาลใจของตนเอง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจาก เพียงการเปิดพื้นของหัวใจที่รับฟังอย่างอิสระให้ทุกคนได้ส่งเสียงของตัวเองออกมา เป็นพลังจากด้านในที่มาแปรเปลี่ยนพลังที่ส่งออกมาให้ถูกต้องตามครรลอง จึงจะสามารถสั่นสะเทือนไปถึงผู้คนรอบกายได้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเรื่อง “เงิน” ยังคงเป็นปัญหาไม่พอเลี้ยงตัวเองได้ในงานแรก แต่สิ่งที่ได้คือแรงแห่งหัวใจที่เกิดขึ้น จากการได้ลงมือทำในสิ่งที่พวกเราเชื่อมั่นได้สำเร็จ และผลลัพท์ของเด็กๆออกมาตรงกับใจหวัง ทุกสิ่งล้วนออกมาจาก “แรงบันดาลใจ”ของเราเอง

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

กลับฟื้น คืนเดิม


วันนี้ได้กลับสู่ความเดิมแท้ของหัวใจเรา การเริ่มต้นของตัวเราที่นี่ โรงเรียนสาธิตจุฬา ฝ่ายประถม กว่า ๑๒ ปีที่เราใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ ประสบการณ์การเรียนรู้ ศาสตร์ต่างๆที่เราได้ร่ำเรียนมาโดยตลอด ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประสบการณ์ทั้งหมดที่เราได้รับร็ เป็นเหมือนการหล่อหลอมจากระบบที่เราได้รับมาโดยตลอด แต่ในระบบนั้นก็มีความไร้ระบบ แต่ยังคงความมีระเบียบไว้อยู่

สิ่งต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงไป ทุกวินาทีที่ดำเนินไปนั้นก็เปลี่ยนแปลงร่างกาย เปลี่ยนแปลงสังขาร สิ่งแวดล้อมต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่แรงบันดาลใจ จุดมุ่งหมายในชีวิต ที่เราต้องทำ เป็นฝันอันยิ่งใหญ่ของเรานั้นก็ยังคงอยู่ น้อยคนนักที่จะดำรงอยู่อย่างชัดเจน เพราะมีเมฆหมอกควันดำจากภายนอกที่เข้ามาแฝงตัวบดบังความฝันจนเกือบสิ้น การได้สายลมอ่อนโยนมาพัดพาเมฆหมอกที่บังตาอยู่ออกไปให้ความฝันกลับสดใสกระจ่างชัดนั่นก็เป็นเรื่องที่มีคุณค่ายิ่ง การกลับคืนสู่แหล่งต้นกำเนิดของตัวเองนั้นก็ตอบแทบทุกคำถามของชีวิตเรา การสูญเสียความมั่นใจ การไร้ซึ่งแรงพลังที่ขาดหายนั้นก็รังแต่จะฉุดคร่าความหวัง เหนี่ยวรั้งพลังแห่งฝันอันยิ่งใหญ่ในชีวิต โชคดีที่เราเห็นและรู้ต้นกำเนิดของเราว่าอยู่ที่ไหน ฉะนั้นการกลับไปเติมพลังแห่งแรงบันดาลใจนั้นก็ก่อให้เกิดพลังที่กลับลุกโชนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของเราก็เกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งนี้ อาจารย์ของเราท่านหนึ่งเป็นเสมือนผู้ที่เป็นแบบอย่างการวางตัว การให้โอกาส การเกื้อหนุน การชี้ขุมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี เราเรียกได้ว่าเป็นดุจกัลยาณมิตรอันใหญ่ยิ่งของเรา

หลายหลากวิชาที่เราได้เรียนรู้ทั้งทางตรงและจากการสังเกต มันซึมซับเข้าไปในเนื้อในตัวเราอย่างน่าประหลาดใจ จนเมื่อเราอยากจะหยิบขึ้นมาใช้เพียงแค่นึกทบทวนดูเล็กน้อย ก็จะจำหหรือทำได้ อวัยวะบางอย่างของเราที่จนจำการเคลื่อนไหวมานับครั้งไม่ได้ เมื่อห่างเหินไปนานก็ย่อมจะฝืดบางเป็นธรรมดา แต่หากเราลงมือทำแล้ว ความรู้หรือการจดจำได้ของกล้างเนื้อต่างๆ ที่ประกอบกันทั้งประสาทสัมผัสต่างๆก็จะเข้ามาเป็นเนื้อเป็นตัวเราเหมือนเดิม


แน่นอนเรื่องพวกนี้เราล้วนรู้กันดีอยู่ เพราะเป็นเสมือนการจดจำของการรู้สึกตัวในเวลาที่เราปฏิบัติ เมื่อเราทำมากเข้า ทั้งร่างกายและดวงจิดของเรานั้นก็จะจดจำสภาวะต่างๆนั้นเช่นกัน ติดเนื้อติดตัวอยู่อย่างนั้น จนเมื่อถึงเวลาต้องใช้เราก็สามารถนำความรู้เหล่านั้นออกมาใช้ได้ เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากหลายคนที่ได้มีโอกาสนำความรู้เหล่านี้ไปใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น
ฉันใดฉันนั้น ประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั้นก็จะถูกก็บกักเอาไว้ เมื่อถึงคราวจำเป็นเราก็จะสามารถนำความรู้ หรืออาจเรียกว่าประสบการณ์เดิมเหล่านั้นออกมาใช้ได้เช่นกัน

แล้วเราเขียนอะไรเนี๊ยะจากโรงเรียน เป็นเรื่องราวของประสบการณ์เก่าๆเสียอย่างนั้น

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

ขอตั้งจิตอฐิษฐาน



เอาใจเข้าช่วยบ้านเมืองเราที
บ้านเมืองกำลังแย่ บ้านเมืองกำลังจะลุกเป็นไฟ
ไม่ต้องออกมาเดินขบวน ไม่ต้องพูดเสียงดัง เพราะอาจไม่มีใครฟัง






เพียงแค่คุณร่วมส่งใจ ความปราถนาดีให้กับทุกคนอย่างแท้จริง
เป็นการเยียวยาตัวเอง และเยียวยาโลก
มาช่วยกัน
ได้ตั้งแต่วินาทีนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่จำเป็นต้องรอ
ไม่จำเป็นต้องคิดมาก
อ่านแล้วทำได้เลย

ส่งใจช่วยทุกคน อธิษฐาน

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

ตัด...ผสม...เข้ากัน



ต้นไม้ยืนต้นออกดอกสีร้อนแรง
บนพื้นดินสีน้ำตาลอ่อน ของดินปนทราย
ตัดกับทุ่งข้าวสีเขียว และท้องฟ้าครามใส


ชีวิตมีสีสันก็สวยงามไปอีกแบบ
ชีวิตขาวดำก็สวยงามไปอีกแบบ
ชอบแบบไหน แบบไหนเข้ากับเราได้ เข้ากับเขาได้


สบายๆ จัดการกับตัวเองอีกหน่อย จัดการกับความยุ่งเหยิงภายใน
ไม่เห็นต้องสนใจข้างนอกให้มาก หากเราไม่เข้าใจด้านในแท้จริง

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

ฝนตกฟ้าสะเทือน

ณ ตอนนี้ ติดฝนอยู่ที่ศาลายา

ฟ้าครึ้ม เมฆดำสนิท ทั่วท้องฟ้า

สายฝนกระหน่ำ ซัดห่าลงมา รุนแรง

ฟ้าก็คงพิโรธ แน่แท้

วันพรุ่งจะมีการทำให้การสิ่งหนึ่ง

จริงหรือที่ฟ้าห้าม มิให้เสร็จสิ้นก่อการ

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552

ได้คิด...เตรียมตัว

หลายวันที่เราต้องเหงาอยู่คนเดียวที่บ้าน เพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลย แม่กลับไปเชงเม้ง พ่อไปอยู่บ้านย่า เราเพิ่งได้รู้ถึงหัวอกแม่ที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวบ่อยๆ เพราะเราเองก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านกัน แม่จึงต้องอยู่บ้านคนเดียว บ้านที่ไร้ชีวติชีวาของสมาชิกครอบครัวที่หายไป

การอยู่คนเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เราได้กลับมาใคร่ครวญ รู้สึกถึงอารมณ์ส่วนลึกภายใน ความเหงาที่เข้าเกาะกัดภายใน เหตุใดหนอที่ความทุกข์อันนี้มาเกาะกินภายในของเราได้ ความอ่อนแอของจิตใจที่ปล่อยให้ความเหงา และความเศร้าเข้ามาขบแทะหัวใจอันบอบบางในตอนนี้

บ่อยครั้งเหมือนกันที่ความเหงาและความเศร้าก็เข้ามาเป็นเพื่อนของหัวใจ เป็นการกลับมาให้เราได้ย้อนถึงความสุขที่ไม่เที่ยงแท้ ความไม่แน่ไม่นอนของชีวิต ขนาดความสุขที่เราปลาบปลื้มนักหนาก็ยังไม่อยู่ยั้งกับเราเสมอไป กลับมามองดูความสัมพันธ์ในครอบครัวของเราเอง ความสุขที่เราเคยมีจากการอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว มันเป็นเสมือนสายใยที่เชื่อมโยงเกาะเกี่ยวกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีขาดสมาชิกใครคนใดคนหนึ่งไปก็ทำให้เส้นสายหนึ่งหลุดล่วงไป เป็นเหมือนความไม่เต็มด้านในเมื่อเราอยู่บ้าน กับสมาชิกในครอบครัวของเราที่มีอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้ความเชื่อมโยงนั้นมีไม่มาก และเมื่อมีเส้นสายหายไปจากการขาดไปของสมาชิกเพียงคนหนึ่งก็ทำให้อีกสองคนเกี่ยวแน่นกันยิ่งขึ้น และความอ้างว้างภายในของสองคนก้มากขึ้นด้วย เราจึงต้องเกาะเกี่ยวให้แน่นยิ่งขึ้นเช่นกัน

กลับมามองถึงตอนนี้ที่เราต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครเลยในบ้าน มองไปทางไหนก้ทำให้เรามองเห็น พ่อกับแม่ เคลื่อนไหวอยู่ในที่ที่พ่อกับแม่ชอบอยู่ ตรงเสื่อเห็นพ่อนอนอยู่ ในครัวเราได้ยิงเสียงแม่ทำกับข้าว มองให้ลึกลงไปอีกนี่เป็นเพียงการห่างกันไม่กี่วันเท่านั้น แต่ถ้าเวลาแห่งการจากไกลมาถึงเราจะเป็นอย่างไร



วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

เกี่ยวกับฉัน

ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา