วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

จังหวะ ของเส้นเสียง

วันนี้มีโอกาสดีมาเป็น ผู้ร่วมจัดรายการวิทยุที่เคยมีคนและนำให้มาเอาดีด้านนี้
ในตอนแรกไม่คิดว่าจะมาเป็นผู้ร่วมจัด แต่กิเลศที่เราอยากรู้ลึกในหัวใจก็เรียกร้องให้เข้ามาร่วมจัดและเป็นการเรียนรู้ส่วนตัว
ในนี้ได้ลองมาทำในสิ่งที่กิเลสภายในนั้นต้องการกลับพบว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
ไม่แน่ใจว่าเป็นการหว่านเสน่ห์อย่างหนึ่งของตัวเองหรือไม่

ยากเหมือนกันเพราะว่าเราต้องเตรียมบทเตรียมอะไรๆต่อมิอะไรมากมายเหลือเกิน...

เทปแรกยังไม่สามารถเข้าจังหวะที่พี่ทั้งสองนั้นได้วางเอาแล้วอย่างเข้าขา กันนัก
คงต้องใช้เวลาในการปรับตัว ปรับจังหวะของเราเช่นกัน ให้ลื่นไหลกับโลกภายนอกได้

เทปที่สอง เราจับจังหวะได้แล้วความลื่ไหลของพลังที่flow ออกมา รู้ทางมากยิ่งขึ้นว่าจะเป็นอย่างไร
สอดแทรกความเป็นตัวเราเข้าไปตรงไหนได้ ความลื่นไหลยังได้เรื่อยๆก็ทำให้จังหวะที่มีนั้นดูflow มากขึ้นไปอีก...

ลองติดตามดูนะครับ....

Fm 105
เวลา 2300-2400
วันจันทร์ที่ 1 และ วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2552

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความฝัน On my Dream

ความฝัน
ครานั้นเมื่อนอนกลางวันเพราะความขี้เกียจแม้กระทั้งดำรงตนให้หลังตรงได้ เอนตัวลงบนที่นอนเหมือนเคย หลับไม่สนิทเข้าสู่ภวังค์แต่สติยังรู้สึกตัวอยู่อย่างแผ่วเบา ปล่อยให้ดวงจิตพัดลอยไปไกลจากร่างกาย ความฝันก็ผุดขึ้น

เสียงโทรศัพท์ดังไกลๆ รีบรุดไปรับด้วยอารามตื่นเต้น อดเห็นไม่ได้ว่าตัวเองยังดุว่าตัวเองด้วยกรอบอันใหม่ ว่ารีบทำไมกัน? ปล่อยให้ความรู้สึกอันนั้นผ่านเข้ามาแอบยิ้มกับตัวเองอีกทอดหนึ่ง เสียงในโทรศัพท์เป็นเสียงของคนคุ้นเคยที่มาปรึกษาเราเรื่องของชีวิต และเรายังรู้สึกติดค้างอยู่ว่าช่วยอะไรเขาไม่ได้ แม้ในความเป็นจริงเราคิดว่าเราทำดีที่สุดและปล่อยวางเรื่องราวนั้นได้ แต่ก็เป็นเพียงการปัดผ่านความรู้สึกติดค้างในหัวใจให้ไกลออกไปเท่านั้น

กลับมารู้สึกไปทั่วร่างกายของตัวในท่าที่เราเองนอนอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดเพราะอะไรแจ่มชัดเสียเหลือเกิน ร่างกายนี้ ละเอียดถี่ถ้วนมากมาย ค่อยๆไล่เรียงกันไป แต่ก็เป็นเพียงแค่อวัยวะภายนอกเท่านั้น ก่อนจะเอนตัวลงมองจนเสร็จสิ้น ก็ใช้เวลาสิบห้านาทีโดยประมาณ

นอนอิ่มพอสมควรกับสิบห้านาทีที่รู้สึกว่ามีคุณค่า แต่ความต้องการยังไม่สิ้นไป ล้มตัวลงนอนอีกแม้ว่าเหงือจะโทรมกายแล้วก็ตาม สำรวจตัวเองอย่างถ้วนทั่วร่างกาย ยังแจ่มชัดเหมือนเคย แล้วก็กลับสู่ห้วงภวังค์อันลึกยิ่งขึ้น ผวาตื่นขึ้นมาอีกประมาณ สิบห้านาทีต่อมา ควมรู้สึกตัวเริ่มดิ่งลงเพียงแต่ว่ายังไม่ลงลึกถึงภายในเท้านั้น เพียงแค่ใต้ผิวหนัง ความฝันเรื่องเดิมมาประติดประต่อกันให้ดูกลายเป็นสมจริง เรื่องงราวต่างๆนานาเกิดขึ้น ผู้ใหญ่ท่านเดิมอยากให้ช่วยสอนพิเศษให้กับใครสักคน ระหว่างคุยกับผู้ใหญ่ท่านนี้ เรานั่งอยู่ในรถ เห็นความเป็นระเบียบของตัวเองอย่างชัดเจน ไม่วายจะมีระเบียบบางอย่างแม้กระทั่งในความฝัน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะมัวขยับรถไปมาเพื่อไม่ให้ขวางทางใครๆ ใกล้จะจบเรื่อง ความฝันเปลี่ยนแปลงไป


ในร้านขายของแบบ Super store พบเพื่อนเก่าสองคนที่ไม่ได้เจอกันนานแต่ไม่นานมานี้ได้โทรศัพท์มาชวนไปกินข้าวกัน ไม่แปลกใจที่มาโผล่ในความฝัน แต่แปลกตรงที่ว่าเราเจอเพื่อนใหม่อีกคน หน้าตาไม่ชัดเจน คับคล้ายว่าเรารู้จัก และอาจเป็นคนที่เราแอบปลื้มอยู่เอาการ อาจไม่ใช่เพื่อนกลุ่มเดียวกัน แต่ทำไมถึงมาด้วยกัน เราแยกย้ายกันเพื่อซื้อข้าวของส่วนตัว เราหิวน้ำเหลือเกิน แต่เดินหาจนทั่วก็ไม่มี พบแต่น้ำอัดลมและ ผักปลา ดอกไม้ บ้างเห็นราคาติดอยู่แต่ก็จะไม่บอกเพราะอาจเอาแปรงเป็นเลขเด็ดไปเสียฉิบ เราเจอผลอโวคาโด้ไทย ป้ายเขาเขียนติดไว้อย่างนั้น รูปทรางยาวรี ไม่เห็นคล้ายผลจริงที่เราเคยได้ลิ้มลอง แล้วความฝันก็เลือนลางไป
ผู้ใหญ่คนเก่ายังคุยโทรศัพท์กับเราอยู่ เริ่มรู้สึกตัวมากขึ้นว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าอะไร แต่ก็ยังกลับไปมาระหว่างภาพการคุยโทรศัพท์และ การนอนอยู่บนเตียง สุดท้าย ผู้ใหญคนนั้นถามว่าเบอร์ที่บ้านเรานั้นเลขหมายใด เมื่อเราบอกเสร็จขณะคุยกับท่าน เสียงของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมบอกท่านว่าเบอร์นี้แหละครับ

แล้วก็ลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ ของจริงที่ดังอยู่เป็นครั้งที่สาม เสียงแม่ตามสายลอยออกมา “วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ?” ไม่ไปครับ แต่ใจจริงก็อยากจะบอกแม่ว่า ในความฝันทำให้ผมผ่อนคลายตัวเองมากกว่าการเดินทางออกไปนอกบ้านเสียอีก

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ฝากเอาไว้เตือนใจ

ฝากเอาไว้เตือนใจ
วันนี้มีโอกาสอันดีได้ไปกราบพระอาจารย์มนตรีที่วัดป่าละอูอีกครั้ง เป็นการนัดหมายที่รวดเร็วยิ่ง ต้องขอบพระคุณคุณพี่นอย และพี่นิต้าอย่างสูงที่ชักชวนไปในทางที่ถูกที่ควร

สิ่งที่ได้จากพระอาจารย์วันนี้ วันนี้ไม่ได้กราบเรียนถามข้อสงสัยแต่ประการใดกับท่านเลย แต่ท่านก็ไขเรื่องราวที่เราเป็นอยู่จากสภาวะของพระภิกษุรูปหนึ่งว่า “ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องราวของคนอื่นให้มาก กลับมาดูตัวเองนี่ สนใจเรื่องตัวเอง เอาตัวเองให้รอดก่อน ไม่ใช่ว่าไม่ให้สนใจคนอื่น แต่เอาแต่พอควร กลับมาทำงานกับตัวเองก่อน เป็นงานที่สำคัญที่สุด” ท้ายที่สุดท่านเตือนลอยๆว่า “พระหนุ่มเณรน้อยก็ระวังอิสตรีให้ดี เอ้าฟังญาติโยมเค้าบ้าง!”

เพียงแค่นี้ก็ทำให้ใจของเราสว่างวาบขึ้นทันที แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไรทำไมเวลาพบพระอาจารย์มักจะทำให้เราง่วงนอนทุกครั้งไป... วันนี้เห็นความกระสับกระส่ายของตัวเองเยอะเหมือนกันขณะฟัง รู้ว่าเบื่อ แล้วเราก็สะบัดมันออกไป ซะอย่างนั้น

ตอนต่อมาที่มีคนอื่นๆสอบอารมณ์ก็พบว่ามีประโยคที่โดนใจอยู่ดังนี้ “พวกเรามันปัญญานำ แต่ปฏิบัติยังน้อยนัก ทำมากๆซี ไม่ต้องกลัวติด” “ปฏิบัตินิ่งๆมันเน้นเอาฤทธิ์ ไม่เอา มาดูที่จิตรู้ทันใจนี่สิ ถูกต้อง อันที่ทำอยู่ไม่เอา”

วันนี้โชคดีมีโยมอุปถากเยอะเหลือเกิน ทั้งพี่นอยที่ไม่คิดค่าน้ำมันแถมขับให้ทั้งไปและกลับ อาจารย์มิที่เจอกันอย่างไม่ได้นัดหมาย แต่ใจตรงกัน เลี้ยงข้าวกลางวันร้านเดิม อนุโมทนาทุกท่านด้วยหัวใจ

ต้องทบทวนตัวเอง

กลับมาถึงกทม.ด้วยหัวใจสบายๆ แต่เริ่มตึงเล็กน้อยเพราะต้องขับรถเอง มาจอดแถวๆจตุจักรเพื่อรอเพื่อนสาว จอดรถเรียบร้อยพบสายตามองมาด้วยความแปลกประหลาด ไม่สนใจเดินต่อไปเพื่อไปรอพบเพื่อนสาว สายตาเดิมยังจับจ้องอยู่ มีอาการเหมือนเดินตามมาห่างๆ แวะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อให้พ้นจากการติดตามที่เป็นความรู้สึก เดินออกมาจากห้องน้ำ เจ้าของสายตาคุ่นั้นเดินสวนเพื่อเข้าห้องน้ำ เราเร่งฝีเท้าออกมาอีกนิด

สักพักมีเสียงตะโกน และออกติดตาม...เราหันหลังกลับอยู่ในถ้าเตรียมพร้ม ยืนอย่างผ่อนคลายหัวใจเริ่มเต้นแรง “ขอโทษครับขอเบอร์หน่อยสิ ว่างๆจะโทรหา ชอบดูท่าทางเป็นมิตรมากเลย” หัวใจยังนิ่ง อึ้งเล็กน้อย “อย่าดีกว่าครับ” คำตอบอย่างสุภาพ มือกำหลวมๆ “ขอเบอร์หน่อยสิ อยากคุยด้วยจริงๆ แต่วันนี้ไม่สะดวก” ใบหน้ายิ้มอย่างมีความหมาย “ฮึ้ย!” ความคิดในใจผุดขึ้น “อย่าดีกว่าครับ หากอยากคุยเชิญเดินคุยตรงนี้ดีกว่าครับ” แล้วเราก็เชื้อเชิญอย่างสุภาพ พร้อมออกเดิน ยังเดินตามครับ ถามนู้นนี่ ไปเรื่อย เราคุยกันอย่างดีเรื่องนู้นนี่ตามประสาคนเพิ่งเคยพบ เหมือนถูกสอบประวัติอย่างนั้น ผมก็ตอบเค้าตามความจริงนะครับแม้ว่าจะมีความไม่สบายใจเพราะความคิดมากและฟุ้งซ่านของเราอยู่ แต่ก็รู้สึกพลังที่คุณคนนี้ส่งออกมาได้เรื่อยๆและแรงเหลือเกิน

คุณคนนี้เป็นผู้ชายวัยกลางคนลงพุงแล้ว สีผมเริ่มเปลี่ยนสี สวมแว่นตา หนวดเคราโกนไม่เกลี้ยงนัก ในมือถือโทรศัพท์ตลอดเวลา... มีความรู้อยู่นเกณฑ์ดีถึงมาก รอบรู้ในหลายเรื่อง รู้สึกว่าในเรื่องของการบริหารจัดการจะรอบรู้เป็นพิเศษ

คุณคนนี้เค้าเดินตามเรามาจนถึงบันไดรถไฟฟ้า แล้วเราก็ขอตัวปลีกตัวโทรศัพท์ ใจเราเริ่มว้าวุ่น บอกให้เพื่อสาวรีบมาทันที เมื่อเราคุยโทรศัพท์เสร็จ เค้าเดินเข้ามาอีก ไม่ให้จริงๆเหรอ ขอเถอะนะ” “ อย่าดีกว่าครับ ขอบพระคุณมาก”แล้วคุณคนนี้ก็เดินจากไป
หัวใจเรายังเต้นแรงต้องมานั่งทบทวนตัวเองดีๆ ว่าทำไมหนอ เราเป็นอะไรหนอทำไมถึงดึงดูดเพศเดียวกันเสียเหลือเกิน? หรือว่าเราเองก็เป็น ผีเห็นผีมันดูกันออก???

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หาbuddy ไปเรียนดำน้ำแบบScuba

เชิญร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่
 
"อยากลงไปมองโลกใหม่ ในใต้ทะเล?
ว่ายน้ำร่วมกับปลา?
มองดูสิ่งมีชีวิตใต้พื้นสมุทร?
สนทนากับท่านเจ้าสมุทร?
พร้อมกับร่วมดูจิตใจ
หรือคุณอยากเป็น Little mermaid ในตอนเด็กๆ"
 
 
โอกาสนี้เป็นของคุณ
 มาร่วมเรียนดำน้ำ หลักสูตร Open Water ของ Padi
อันเป็นหลักสูตรดำน้ำที่โด่งดังไปทั่วโลก
 
ครั้งนี้ไม่ธรรมดาจะผสมผสาน
หลักสูตรNAUI ซึ่งเป็นหลักสูตรของทหารเข้าไปด้วย
เรียกได้ว่าครบครัน ปลอดภัย
 
"จบมาแน่น เอาตัวรอดไม่เป็นภาระให้กับใครๆ ขณะเปิดประสบการณ์ดำดิ่งสู่โลกใต้ทะเล"
 
 
เรียนที่ โรงเรียนสอนดำน้ำมนุษย์กบไทย ถนนสิรินธร ซ. ๗ (แถวๆตั้งฮั่วเส็งธนบุรี)
 
 
รายละเอียดของคุณสมบัติ
2. ใจรัก
3. เวลาว่างตรงกัน
 
 
 
สนใจติดต่อ
ภูมิ
081 587 7868

ตื้นตันในหัวใจ

นั่งกันอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างใหญ่กลางเมือง ซึ่งไม่เคยเดินมาก่อน ไปเพราะมีนัดกับเพื่อนจิตตปัญญาเพื่อพูดคุยกันเรื่องทั่วไปของชีวิตและเรื่องราวกิจการสัมมาชีพ เรื่องราวก็เป็นดังจดหมายที่เขียนถึงน้องคนนี้



สวัสดีครับ

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่า น้องอาจไม่ใช่ น้องแป้ง cud 43 ที่ผมหมายถึง แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้รับรู้ความรู้สึกของผมแล้วกันนะครับ
เพราะผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากทีเดียวสำหรับการเขียนจม.นี้มาขอบคุณน้องเค้าด้วยหัวใจ

เรื่องเล็กๆมีอยู่ว่า...
วันนี้ระหว่างผมเดินซื้อโดนัทมาให้เพื่อนของผมคนในที่ห้างดัง พาราก้อน
มีหญิงสาวสวยคนหนึ่งเข้ามาทักทายผมด้วยการไหว้พร้อมยิ้มอย่างหวาน
ผมจำได้ว่าเธอคนนี้เห็นมากับเพื่อนๆในร้านอาหารที่ผมกะเพื่อนนั่งคุยงานกันอยู่อย่างเสียงดัง

น้องคนนั้น: พี่สวัสดีค่ะ
ผม: ครับสวัสดี (ผมไม่แน่ใจว่ารู้จักกันที่ใด?)
น้องคนนั้น: เด็กสาธิตจุฬาคะ หนูจำพี่ได้
ผม: อ่อครับ รุ่นไหนครับ
น้องคนนั้น: 43 ค่ะ
ผม: ชื่ออะไรนะครับ
น้องคนนั้น: แป้งค่ะ
ผม: ขอบคุณนะครับที่ทักกัน

ระหว่างเดินจากมาผมรู้สึกว่าผมน่าจะถามสาระทุกข์น้องแป้งให้มากกว่านี้
ผมเลยตามหาว่าเธอคนนี้เพื่อบอกเล่าความรู้สึกที่ผมมี
บางทีน้องที่อ่านอาจจะใช่น้องแป้งก็ได้
แต่ถึงไม่ใช่ ผมก็อยากบอกกะน้องว่า

แค่นี้แหละครับเหตุการณ์ที่ผมเจอ ไม่น่าเกินสิบวินาที
แต่มันทำให้ผมรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองอย่างมาก ความรู้สึกที่หัวใจผมพองโต

ด้วยเพราะสาวสวยมาทัก และที่สำคัญเป็นน้องโรงเรียนเดียวกันซึ่งจำผมได้
อยากบอกว่าการกระทำเล็กๆ เพียงแค่การทักทายกัน ยิ้มละไมให้แก่กัน
มันก็สร้างความสุขในใจของคนได้ และแน่นอนมันสร้างความสุขให้กับโลกเช่นกัน

ขอบคุณมากครับ
ธนวัฒน์ ธรรมโชติ (ภูมิ)
สาธิตจุฬารุ่น ๓๘

ปล. หากไม่ใช่น้องแป้งที่ผมเจอก็ขออภัยด้วยนะครับ แต่อยากให้รู้ว่าสิ่งเล็กๆที่นอ้งแป้งทำนั้นก็สร้างโลกของผมให้สวยได้

ความรู้สึกที่มีมันมากเสียเหลือเกินไม่รู้ว่าเป็นเพราะประทับในในการกระทำของน้อง หรือว่าเป็นเพราะความสวยของน้องเค้ากันแน่ แต่ผมว่าอาจเป็นอย่างหลัง... จนทำให้ต้องตามหาน้อง พริ้มเพรา สารสิน คนนี้

ผู้สังเกตการณ์

ผู้สังเกตการณ์
วันนี้ตัดสินใจไม่นำรถออกมาเพราะเหตผลหลายประการ เพื่อที่จะหยุดตัวเองจากความเครียดในการขับรถ รับรู้ได้ถึงร่างกายที่ว่าไม่เป็นปกติในส่วนกระดูกสันหลังอันเนื่องมาจากท่าทางในการนั่งขับรถมานานๆ ความรู้สึกหยิ่งผยองภายในกับการมีรถเป็นเครื่องบ่งบอกความ”มี” ซึ่งทำให้ความเป็นอัตตาของเราเพิ่มขึ้นอีกนิด ความต้องการที่จะพาตัวเองเคลื่อนตัวเข้าไปสู่สังคมคือลดพื้นที่แห่งความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัยให้กับตัวเอง ความคุ้มค่าของการเดินทางซึ่งเดินทางเพียงคนเดียวเท่านั้นพลังงานที่จะสูญสิ้นไปอาจมากมายจนเกินไป

แน่นอนความรู้สึกไม่ปลอดภัยภายในย่อมมี เป็นเรื่องดีที่สังเกตเห็นได้ ความกลัวการลำบากต่างๆนานนาที่เริ่มประดังเมื่อตัดสินใจปิดประตูบ้าน เจอแดดร้อนเปรี้ยง และท้องฟ้าที่อึมครึมอยู่ แน่นอนร่มในมือที่เตรียมไว้อาจช่วยได้ แต่รองเท้าที่เราหวงอาจเปียกปอนเปรอะเปื้อนจากสายฝนที่อาจตกได้วันนี้ ความไม่แน่ในหัวใจเริ่มประดังเข้ามา เห็นได้ชัดว่าใจหนึ่งต้องการความแน่นอนและสะดวกสะบายจึงคิดจะเปิดบ้านเพื่อนำรถออกไป เมื่อเห็นเท่านั้นจึงผละออกจากความคิดนั้นแล้วก้าวเดินู่โลกพร้อมมองความรู้สึกของตัว

ความอึดอัดเริ่มมีในใจเมื่อขึ้นรถโดยสารที่รับส่งผู้คนภายในซอยออกสู่ถนนใหญ่ มันอึกอัดเพราะการมัวแต่เฝ้ามองดูตัวเองอย่างจับจ้องเกินไป ความเครียดในใจมันก็บังเกิด พ่นลมออกจากปาก สักสองสามครั้ง แล้วปล่อยให้จิตไหลออกไปตามเรื่องราวสบายขึ้น มารู้สึกตัวอีกทีเมือ่ตัวเองก้าวเดินเพื่อไปรอรถประจำทางสาธารณะที่จะพามุ่งสู่เป้าหมาย

มองดูเวลายังมอีกมาก แวะหาอะไรใส่ท้องก่อนเพื่อเพื่อจะได้คลายความทรมานของร่างกาย ระหว่างกินซึ่งโดยปกติเราอาจต้องสั่งอีกชามเพื่อเติมช่องว่างในกระเพาะให้เต็ม หวนถึงความอึดอัดที่เคยมี ดูตัวเองแท้จริงแล้วก็รู้ว่า ดื่มน้ำสักแก้ว ซดน้ำซุบในชามให้หมดน่าจะเต็มความต้องการนั้นไปได้ ยืดเวลาดูตัวเองอีกนิด และเมื่อใกล้หมดก็พบว่ามันพอดีไม่อิ่มมากจนเกินไป เห็นความอยากที่มากขึ้น จึงจ่ายสตางค์แล้วออกเดินทาง

เวลาก็ยังเหลือ เยอะตัดสินใจขึ้นรถประจำทางปรับอากาศเพื่อจะนั่งให้ระยะทางนั้นไกลขึ้น เลือกที่จะไม่นั่งรถไฟฟ้า เพราะรถไฟฟ้าทำให้เรารีบเหลือเกิน บนรถประจำทางสาย ๒๖ ค่าโดยสาร ๑๑ บาท โดยไม่ต้องเสียเงินค่ารถไฟฟ้าเพิ่ม อาจใช้เวลามากหน่อย ความเคยชินเดิมๆที่เร่งรีบภายในก็ทำให้เราอึดอัดเพราะการจราจรที่ติดขัดพอตัว ความหงุดหงิดก็ย่อมมี เลือกที่จะปล่อยให้ภาวะมันเกิดโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันไม่ปัดหรือขัดขวาง ทอดอารมณ์ให้ออกไปจากความอึดอัด มองออกไปนอกหน้าต่าง อย่างเหม่อบางๆ

ช่องซ้ายสุดของถนนขณะรถติดไฟแดงอยู่ตรงแยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รถยนต์ยี่ผุ่นคันหนึ่งอายุไม่น่าจะต่ำกว่า ๒๐ปีแต่สียังดูใหม่ ความคิดก็เกิดว่า อาจเพราะความใส่ใจของผู้เป็นเจ้าของ รถคันนั้นเปิดไฟกระพริบอยู่ คุณป้าคนหนึ่งเดินลงจากรถมาก หิ้วถุงพลาสติกและกระเป๋าถือ ถัดออกไปอีกหน่อยมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งรับผู้โดยสารแล้วค่อยๆเคลื่อนในระยะกระชั้นออกมาขวางหน้ารถเพื่อเข้าสู่ช่องทางขวามือ รถยนต์คันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ สะกิดกัน ผู้โดยสารหลังมอเตอร์ไซค์คันนั้นมองหน้าคนขับรถยนต์อย่างไม่พอในนัก คนขี่ก็หันมามองรถตัวเอง พร้มอส่ายหัวไปมา ดูแล้วจะไม่เป็นอะไรมาก

ความไม่พอใจของผู้โดยสาร และคนขับ ความตระหนกตกใจของคนขับรถยนต์ที่ลงมาดูความเสียหายของรถมอเตอร์ไซค์ก่อนรถตัวเอง เอ...เป็นความรู้สึกของเขาหรือว่าเป็นเพียงเพราะท่าทางที่ทำให้เรารู้สึกแทนเขาอย่างไหนกันแน่?

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน

“อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน เกียรติเรืองขจรแต่ก่อนนี้ยัง เผ้ามองความหลังซากปรักหักพัง...ในเมืองอยุธยา”เพลงแท้ๆแบบแรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้ร้องอย่างนี้แต่ประการใด คงมีแต่ท่อนแรกเท่านั้นที่เป็นเพลงที่ติดอยู่ในโสตประสาทของใครหลายคน วันนี้เราเดินทางไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพร ขอพลังที่อดีตเมืองหลวงของเรามายาวนานกว่า ๔๐๐ ปี


เดินทางไปด้วยกัน ๔ ชีวิตหนึ่งผู้เฒ่า หนึ่งใกล้เฒ่า สองวัยสะรุ่น ขับรถวกไปวนมาเพราะไม่แน่ใจในเส้นทาง อารมณ์ของคนขับก็ไม่แน่นอน แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดมากมากนัก ไม่ได้โมโหแบบกระฟัดกระเฟียดใสอารมณ์เหมือนก่อน เราเริ่มต้นที่วัดใหญ่ชัยมงคล ไปกราบไหว้ขอพรพระท่าน เรารู้สึกดีเหมือนกัน แต่อยากให้มีเวลาให้มากกว่านี้ ท้องห้าโปร่งโล่งกว่านี้เพื่อที่จะได้เดินไปชมให้ได้ถ้วนทั่วบริเวณวัด องค์เจดีย์ สถูป พระพุทธรูป ต่างๆ ความรู้สึกของทุกอณูอิฐหิน เหมือนมีจิตวิญญาณที่บ่มเพาะอายุมายาวนาน พระพักตร์พระพุทธรูปหลายองค์พบรอยยิ้มเล็กๆ มองแล้วเลื่อมใสเป็นสุขดี แต่หลายองค์ก็ดูเคร่งขรึมเสียเหลือเกิน

ข้างคูที่ล้อมรอบวัดใหญ่ชัยมงคลนั้นเป็นศาลของพระบามสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งรอบอาคารก็เต็มไปด้วยไก่ ตัวเล็กตัวใหญ่ต่างๆกันไป ที่ซุ้มประตูทางเข้าก็มีไก่ ยืนเด่นเป็นสง่าเหมือนพนักงานต้อนรับอย่างนั้นทีเดียว ภายในอาคารนั้นมีองค์ท่านในท่านั่งหลั่งทักสิโนทก ตั้งสัจจาทิษฐานกับผืนแผ่นดินว่าจะเอาบ้านเมืองคืนมา เรารู้สึกว่าเราเองมีพลังที่จะทำอะไรหลายอย่างเพื่อบ้านเมืองไทยอีกมากโข
บ่ายแก่แล้วแวะทานข้าวอย่างง่ายๆที่ข้างวัด แล้วก็ออกเดินทาง ขับรถหลงไปมาอยู่ในจังหวัดนั้นแหละ แต่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของเราก็คือ วัดมงคลบอพิศ เมื่อเช้าดูข่าว มีsms จากทางบ้านบอกว่า “อยุธยาอากาศดี๋ดี” แต่ฝนก็ตกพรำไปตลอดทั่วทั้งบริเวณจังหวัด บวกกับเป็นวันธรรดาร้านรวงต่างๆบริเวณที่จอดรถนั้นก็เงียบเหงาไป แต่ก็ดี เราได้ใกล้ชิดและสัมผัสพลังต่างของสิ่งที่สถิตอยู่ ณ ที่นั้นได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้เราได้รับรู้ได้ว่าความยิ่งใหญ่ ความหวงแหนของเหล่านี้ในตัวเรานั้นมากเพียงใด


เพียงสองวัดเท่านั้นสำหรับการเดินทางไปไหว้พระเพียงครึ่งวัน ก็สามารถซึมซับพลังของความเก่าแก่และสืบเนื่องของบ้านเมืองในอดีตได้เป็นอย่างดี แต่ยังสงสัยว่า”อยุธยาอากาศดี๊ดี” นี่ดีอย่างไร?

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แมวเหมียว

สิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆเป็นของขวัญล้ำค่ายิ่งของโลก สรรพชีวิตที่บริสุทธิ์ ไร้พิษภัยในตัวเอง สัญชาติญาณยังไม่เกิดมากนัก ความน่ากลัวของเจ้าจึงยังไม่ใคร่มี

ลูกแมวน้อยสามชีวิต ตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดู อายุใกล้จะครบเดือน สามสี ขนปุกปุย นัยตาสีออกเทา ความน่ารักของเจ้าทำให้โลกในหัวใจที่อึมครึมกลับสดใสน่ามอง เป็นพลังของสิ่งมีชีวิตที่เพ่งเกิดใหม่ เป็นดั่งพลังชีวิตที่เริงร่าเปี่ยมไปด้วยพลังมากมาย ที่พลอยให้ผู้ดูรู้สึกสดใสมีพลังเช่นกัน

ทำอย่างไรหนอ ภาวะแห่งการเกิดใหม่ของจิตใจ อันเป็นรูปลักษณะเดิมแท้ของจิตใจนั้นจะคงอยู่ได้เนิ่นนาน เป็นจิตที่สว่าง ที่สงบ ที่ผ่องใส เหมาะควรแก่การงาน แล้วพัฒนาไปสู่จิตใหญ่ที่จะสรรสร้างสังคมรอบตัวให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แม่

๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒
วันนี้ดีใจจัง ดีใจมาก เพราะได้อยู่กับครอบครัวจริงจังๆ
แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ เราทำให้แม่ได้สั่นคลอนกับการเป็นหนูของเขาได้แล้ว

แม้ว่าจุดเริ่มต้นการการนำเสนอจะให้กับอาของเราที่เป็นถึงผู้บริหารระดับหนึ่งขององค์กร
แต่แล้วก็กลับไม่สนใจ เรื่องราวอย่างนี้ เพราะเห็นราคาอันน่ากลัวของค่าตัวกระบวนกร
พร้อมบอกว่า “ราคาขนาดนี้เอาเงินไปทำถนนดีกว่า”
ฃ เรารู้สึกแย่แต่ก็ไม่เป็นอะไรเพราะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว
เพียงแค่เสนอดูเพื่อจะเป็นเวลาของเขา

อย่างไรก็ตามเราก็ทำให้คนหนึ่งรู้สึกสั่นคลอนก็ด้วยความเป็นหนูของแม่เราเองนี่แหละ
ที่ทำให้แม่มาอ่านและก็น้ำตาซึมๆกับความเป็นตัวเองของแม่

แล้วสักวันหนึ่งเราคงจะพาแม่เข้ามาดูแลจิตใจของแม่ได้
จะเป็นเรื่องดีของชีวิตหนึ่งที่ได้กลับมาดูแลด้านในของตัวเอง
และคงมีความสำคัญมากกับเราที่พาคนนี้กลับมารู้สึกตัวเองได้


เพราะเขาคือแม่ของเรา
วันนี้ดีใจจัง ดีใจมาก เพราะได้อยู่กับครอบครัวจริงจังๆ
แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือ เราทำให้แม่ได้สั่นคลอนกับการเป็นหนูของเขาได้แล้ว

แม้ว่าจุดเริ่มต้นการการนำเสนอจะให้กับอาของเราที่เป็นถึงผู้บริหารระดับหนึ่งขององค์กร
แต่แล้วก็กลับไม่สนใจ เรื่องราวอย่างนี้ เพราะเห็นราคาอันน่ากลัวของค่าตัวกระบวนกร
พร้อมบอกว่า “ราคาขนาดนี้เอาเงินไปทำถนนดีกว่า”
ฃ เรารู้สึกแย่แต่ก็ไม่เป็นอะไรเพราะเตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว
เพียงแค่เสนอดูเพื่อจะเป็นเวลาของเขา

อย่างไรก็ตามเราก็ทำให้คนหนึ่งรู้สึกสั่นคลอนก็ด้วยความเป็นหนูของแม่เราเองนี่แหละ
ที่ทำให้แม่มาอ่านและก็น้ำตาซึมๆกับความเป็นตัวเองของแม่

แล้วสักวันหนึ่งเราคงจะพาแม่เข้ามาดูแลจิตใจของแม่ได้
จะเป็นเรื่องดีของชีวิตหนึ่งที่ได้กลับมาดูแลด้านในของตัวเอง
และคงมีความสำคัญมากกับเราที่พาคนนี้กลับมารู้สึกตัวเองได้


เพราะเขาคือแม่ของเรา

เกี่ยวกับฉัน

ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา