วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #8

<เช้าวันรุ่งขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ ก็ไม่รู้ว่าจะรีบกันทำไม เพื่อนคนหนึ่งแหกขี้ตาเพื่อจะออกจากที่พักตั้งแต่ ตีห้าสิบห้า บอกว่าอยากมีเวลาทำนู้นทำนี่ เห็นได้ชัดว่าอยาก Manage เรื่องต่างๆ แฮ่ะ อาทิตย์หนึ่งอาการก็ออก เออเราเองก็ได้ดูใจตัวเองไปว่าเป็นอย่างไร บอกก็แล้ว ก็ขี้เกียจเถียง ว่าไม่ต้องรีบ เพราะไม่รู้จะรียทำไม?? ก็ตามใจ ถึงโรงอาหารเราเองก็เป็นคนถูกตำหนิเพราะว่าแม่ครัวบอกว่า “ไหนจะออกหกโมง แล้วทำไมรีบมากันจัง” น่านกู แต่ก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว โอเคๆ บอกแม่ครัวว่า “ออกหกโมงจริงครับ ทำทันอยู่แล้ว” ซึ่งก็กว่าจะได้ออกกันจริงจังก็หกโมง สิบนาทีเข้าไปนั่น ไหนจะวกรถไปเติมน้ำมัน ไหนจะ แวะซื้อของนู้นนี้กันอีก ก็ไม่รู้จะรียทำไม หรือว่าเป็นนิสัยของคนชาตินั้นกันแน่หว่า เอ..มันเป็นเพราะอะไร ??

ก่อนจะออกคุณอาของเราเองก็มาเยี่ยมชมโรงเรียน วันนี้เป็นคณะพิเศษเรียกว่าพิเศษจริงๆ เพราะเส้นมาก เออ มาอยู่ไม่เท่าไหร่ก็มีเส้นมีสายแล้วเรา ได้เจอกันแว๊บเดียว ไม่ได้ตั้งใจจะมาเยี่ยมเราหรอกพอดีจะเข้ากรุงเทพอยู่แล้ว ก็เลยถือว่าเป็นทางผ่านเลยแวะมาเอาไห้คุ้มหน่อย เออ ก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ แต่ตัวเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่ต้องไปขอร้อง กับความตั้งใจที่ดูเหมือนไม่จริงจังอย่างนี้
วันเสาร์ ณ อยุธยา ก็อย่างที่เรียนให้ทราบว่าไม่รู้จะรีบออกจากที่พักกันทำไม ขับรถเรื่อยเปื่อยกว่าจะถึงก็แปดโมงกว่าแล้ว มีฝนพรำๆบ้างประปราย แต่ไม่มากนัก พเย็นๆให้ครึ้มใจระหว่างทาง ถึงวัดพนัญเชิงเป็นสถานที่แรก เข้าไปกราบหลวงพ่อ เพื่อนๆต่างตื่นตาตื่นใจกันพอสมควร ยิ่งสนุกเมื่อได้ลองเสี่ยงเซียมซี เออแปลกดี เห็นแขกเสี่ยงเสียมซีก็ตลกดี เขย่าอยู๋นานไม่เห็นลาวง ก็หันมาทำหัวด๊อกแด๊ก อ่าวแม่คุณเอ๊ย เล่นตั้งฉากขนาดกับพื้นโลกอย่างนั้น จะล่วงลงมาได้อย่างไรกัน?? วัดนี้ก็แปลกเซียมซีไม่มีภาษาอังกฤษก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ที่พาไปอีกหล่ะครับ พอเดาออกนะครับว่าอย่างไร เป็นกลอน ก็ต้องถอดความกันอีก สนุกพิลึก

จากนั้นลงเรือล่องลำน้ำเจ้าพระยา ไปจุดเชื่อมต่อกับแม่น้ำลพบุรี สนุกดี คนเรือพาไปดูช้าง ตกอกตกใจว่าเห็นช้างทำไมนอนนิ่ง แล้วก็มีรถไถนาขันหนึ่งจอดอยู่อีตอนแรกก็นึกว่าช้างจะตายเตรียมจะฝัง แต่ขวาญก็บอกว่าฝึกเอาไว้ถ่ายหนัง และแล้วตามไสตล์ช้างไทย ก็อนุเคราะห์ลงเล่นน้ำให้คนดู เรี่ยรายกันคนละ ยี่สิบ สามสิบ ให้ช.ช้างไป ไม่รู้ตกถึงช.ช้างหรือเปล่า? ทอมก็สนุกมาก ไม่กลัว เห็นช้างยืน ช้างเล่นน้ำ ยังไม่ครบชุดเพราะว่ายังไม่เห็นช้างอึ...



ล่องเรือมาหารักสักที....จนหรือมีก็ตามแต่... ไม่เกี่ยวอะไร ไปวัดท่าการ้อง เพิ่งสร้างตลาดน้ำใหม่ขึ้นมา เรียกว่าใหม่มาก ไม่มีการพายเรือมาขาย ขนของลงเรือเท่านั้นเรือก็จอดเอาไว้ที่ท่าน้ำวัดนั่นแหละ ซื้อข้าวของกันสนุก อันนี้ดีอย่างราคาพอๆกันไม่มีถูกแพงกว่ากันนัก ป้ายราคาพร้อมสรรพ แต่บรรยากาศจัดฉากมากไปหน่อย ถ้ามีโอกาสไปอยากให้ลองไปเข้าห้องน้ำที่นี่ดูเพราะว่าสะอาดเหลือหลาย สะอาดจริงๆ เรียกได้ว่านอนกลิ้งได้เลยทีเดียวเชียว


ร่องเรือผ่านวัดชัยวัฒนาราม ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นวัง ไม่เคยเห็นวัดชัยวัฒนารามมุมนี้มาก่อน สวยมาก จริงๆ ตกเย็น มองจากอีกฝั่งคงจะยิ่งสวยมากๆ ล่องเรือต่อกลับวัดพนัญเชิง คนเรือที่นี่ดี ให้ลองขับเรือเองได้ เราถึงเรื่องล่องน้ำก็บอกว่าเป็นอย่างไร ก็ได้ความรู้เล็กๆเรื่องการดูร่องน้ำ

เริ่มรู้สึกร้อนและเหนื่อยกันพอตัว เราก็เร่งไปต่อกันที่วัดหน้าพระเมรุ กราบพระประธาน วัดนี้ก็มีประวัติยาวนาน ขอบคุรวิชาประวัติสาสตร์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ก็พอจะถูไถ กล่าวให้เพื่อนฟังพอไหว มั่วบ้าง จริงเยอะหน่อยก็เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี เข้าไปกราบกระขาวหลังโบสถ์ ก็ตื่นตากันมากคือการ เสี่ยงทายยกช้าง เราเองก็เริ่มก่อนเลย แล้วทุกคนก็หันมา “ Hey, What’s this?”งงสิครับอธิบายไม่ถูกคน ภาษาดีหน่อยก็รู้เรื่อง คนที่ภาษาไม่ดีก็งง (๕๕๕ไม่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษนะครับ ภาษามือและ ความฉลาดด้านการเดา) จากวัดนี่หลายคนเริ่มบ่นอุบ ว่า”Where are we going?” .”Temple” มากเข้าก็เริ่มเบื่อ บ้างหิว และหงุดหงิด นึกว่าจะหาที่ให้ทานอาหาร ไอ้เราก็เห็นว่ากินกันมาแล้ว ที่ตลาดน้ำ เอ้า! หิวก็หยิบกินได้เลย เราเองก็เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ในเรือแล้ว๕๕ ก็แวะร้านโอเลี้ยง ให้นั่งทานข้าวกันหน่อย ก็เป็นสนุกมากเพราะสั่งโอเลี้ยงไม่รู้เรื่อง เราเองก็ไม่ช่วย เพียงแค่บอกว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไร ต้องช่วยตัวเองบ้างสิ (จริงๆคือก็เหนื่อยและก็เยื่อแล้วที่ต้องดูแลทุกเรื่อง)

เบื่อกันมากเปลี่ยนแผนไปเที่ยว วัดดอกบัว กัน วัดนี้เค้าดีมีแอร์ ของขายเยอะแยะ บ้างซื้อกล้องถ่ายรูป ช๊อบปิ้งนู้นนี่ตามประสา ให้เวลาชั่วโมงครึ่งกันทีเดียว เราเองก็เมื่อยและง่วงเลยหนีไปนอนให้เค้านวดเท้าให้ สบายไป อ่อวัดที่ว่า คือ วัด tesco Lotus
จากนั้นมุ่งตรงไปวัด ซึ่งเป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่เป็นรูปแบบของโบสถ์ สวยงามมาก เป็นคนไทยบางคนยังไม่เคยมาเลย ต้องข้างน้ำไปด้วยเพราะวัดตุ่งอยู่บนเกาะเลยทีเดียว สวยจริงๆ บางทีก็นึกรักศิลปะตะวันตกเข้าจับจิตเหมือนกัน พอดีไปก็เริ่มจะเย็นเห็นหลวงพ่อ หลวงพ่อทำวัตรกันอยู่ก็เป็นโอกาสดี เลยระลึกคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปด้วยเลย จากนั้นมานั่งเล่นกันที่ท่าน้ำ เพื่อนซึ่งเป็นชาวฮินดูก็สวดสรรเสริญองค์เทพกันบ้าง อืมได้บรรยากาศดีแท้
a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqDne_jCmK2CxAw42BEMkguVUbSApNOyNDD79cjrOMMla4swF-EiYXCOqoqgJhyphenhyphenk1U_yui240b9P7jGiHs-nYX_nAdddlqFWs-cwKl_TEXLkRt2cMMW3PAb4celfjYKMu3CsHiOylcKnM/s1600-h/Photo-0008.jpg">






กลับมาเรื่อยๆ รถอีกคันพาแวะกินพิซซ่าที่ โลตัส ส่วนรถเราคนแก่เยอะเป็นส่วนมากก็เอาว่าจะเดินทางกลับก็เห็นใจคนสาวที่อยากกินพิซซ่าอยู่กลายๆ ก็เริ่มสงสัยว่า ทำไมเค้าไม่เห็นเห็นใจกันบ้างเลยหว่า เด็กๆยังเออออ เวลาห้าๆอยากไปนู้นนี่ ที่จะพาเด็กไปส่งเพื่อให้เด็กมีความสุขเล็กบ้าง ก็ไม่เห็นค่อยจะยอม เออเรื่องนี้ก็นั่งคิดอยู่นานว่าเปน้เพราะอะไรกันแน่? เป็นเพราะเราไม่เข้าใจความเป็นชนชาติของเขา หรือเป็นเพราะตัวเอง ที่ให้ค่าตีความ...เหอะๆๆ

จนแล้วจนรอดก็มาแวะกินขนมกลางทาง ข้าวใครข้าวมัน เออเราเหลือบไปเห็นรถเปิดไฟอยู่เพราะเด็กน้อยนอนแล้ว ต้องมีคนดูแล เสร็จแล้วทุกคนขึ้นรถ ถูกครับสตาทร์ไม่ติด เป็นเรื่องสนุกของทุกคนที่จะช่วยกันเข็น ก็เห็นอีกหล่ะครับว่าใครเป็นอย่างไร แหมจริงเลย บ้างก็กลัวยุงกัดเอาผ้าห่อตัวแล้วนั่งอยู่ในรถไม่ช่วยเข็น บอกอีกแหนะว่าน้ำหนักอีฉันไม่มากเท่าไหร่หรอก ขอนั่งบนรถแล้วกัน บ้างก็ลงมาช่วย โอเค้ บ้างก็อยากให้ตามหาช่าง ให้โทรบอกคนน็นคนนี้มาให้ช่วย เห็นถึงความตื่นกลัวของทุกคน ร่วมทั้งตัวเอง เพราะรู้สึกเล็กว่าเป็นหน้าที่เจ้าบ้านของเราที่จะดูแล อำนวยความสะดวก ทั้งๆที่ไม่ได้มีใครบอกให้ทำ กลับมาดูตัวเองก็เห็นความกลัวเล็กๆ ไม่ได้กลัวลำบากแต่กลัวคนอื่นๆจะลำบากมากกว่า ดูไม่ค่อยสบายกัน เลย แต่พอมีแรงใจจากสายตาทั้งที่ไม่ได้พูดกันก็คลายความกังวลลงไปได้เยอะพอควรเลยทีเดียวกับการเข้าใจสถานการณ์อย่างนี้

จนแล้วจดรอดก็รอกว่าครึ่งชั่วโมง รถอีกคันจึงจามมาเปลี่ยนแบ็ต กันซะก็เดินทางถึงที่หมายแม้ว่าจะไม่สามารถใช้แอร์ได้ก็มีความสุขดี เราเองก็นั่งคุยเป็นเพื่อนพี่คนขับมาเรื่อย ถึงโรงเรียนก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #7

เช้าวันศุกร์ วันนี้มีแขกมาแต่เช้าเช่นเคย วันนี้เราไปไม่สายเหมือนเมื่อวานเพราะรู้สึกได้พักค่อนข้างเยอะ แขกมาเยอะ มีแขกคุยกับเด็กระหว่างอาจารย์เล่านิทาน ก็ทำให้หงุดหงิดใจเช่นกัน เห็นความไม่ประสงค์ดที่จะทำให้การขัดจังหวะเล่านี้เกิดขึ้น ความควรไม่ควรก็เข้ามาครอบงำตัวเอง มีช่วงที่แอบหลับด้วยเช่นเดียวกัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเยื่อเข้าไปทุกทีๆ แม้ว่านิทานจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจก็ตาม หากลองฟังดีๆก็จะเห็นสำนวนภาษาน่ารักๆจากอาจารย์ได้เช่นกัน เช่น ราชสีห์เป็นกษัตริย์แห่งป่า

ช่วงเข้าแถวก็เกิดความสนุกขึ้นมาถ่ายรูปและวิดิโอด้วยโทรศัพท์พื่อเอาไว้ประกอบอะไรบางอย่างของตัวเอง ก็สนุกดี เห็นอะไรหลายต่อหลายมุมดี ความรู้สึกที่อยากจะมีกล้องถ่ายรูปติดตัวมก็เกิดขึ้นอีกเยอะเช่นกัน คิดไปเรื่อย ถ้ามีนะ จะอย่างนู้นอย่างนี้เป็นจิตนาการ ที่ทำให้ทุกข์เสียเหลือเกิน ตัณหาความทะยานอยากนี่เขาไม่เคยปราณีจริงๆ ได้รับมอบหมายให้เป็นล่ามกิตตมาศักดิ์อีดเช่นเคย ความนี้แปลไม่ดีเท่าเมื่อวาน เพราะจะมีคนข้างๆมาร่วมแปลด้วยยิ่งทำให้ความมั่นใจไขว้เขวไปเสีย ต้องรอฟังว่าเข้าพูดอะไร อย่างไร จะเอาความคิดชุดภาษา ลำดับการร้อยเรียงของตัวเองมาใช้ก็ไม่ทันไปเสียสิ้น จึงไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไหร่ มีเรื่องอย่างะเล่าให้ฟังดังนี้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งท่านได้ถามนักเรียนที่โรงเรียนว่า “ครูเห็นนักเรียนตอบคำถามมามีแต่ข้อดีๆแล้วม่ทราบว่ามีข้ออะไรที่ไม่ดีหรือไม่ ช่วยหยิบยกข้อไม่มีมาบอกให้ฟังหน่อย” นักเรียนอึกอึก แล้วมีนักเรียนคนหนึ่งตอบว่า” เรื่องมองว่าดีไม่ดีนี่ก็เกิดกับแต่ละบุคคล โรงเรียนสอนให้เรามองด้านที่ดี ไม่เปิดช่องด้านที่ไม่ดีเอาไว้ เป็นเหมือนสองประตู เราก็เลือกเปิดเฉพาะประตูด้านดีเท่านั้นครับ ผมก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร” เสียงปรบมือดังขึ้น ครูท่านนั้นก็รีบสวนว่า “ถ้านี่เป็นข้อสอบ และครูเป็นผู้ออกข้อสอบ ตอบอย่างนี้ตก เพราะว่าไม่ตรงคำถามนะคะ” เราเองก็เห็นความกลัวของคนถามเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนความกลัวของคนตอบย่อมมีแต่ทำได้ดีควบคุมได้ แต่คนถามไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ต้องหลุดวาจาอย่างนี้ออกมาเพื่อประโลมตัวเองให้อยู่ในภาวะปกติไม่ได้รู้สึกว่าถูกทำร้ายตัวตนข้างในของตัวเอง..
เรามีเวลาว่างอีกนิดหน่อย ก็ทำงานกุ๊กกิ๊กของตัวเองไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาทานอาหารกลางวันก็รับประทานอาหารสบายๆ แต่ทว่าก็มีกลุ่มบุคคลเข้ามาสอบถาม เรื่องราวของโรงเรียนโดยที่นึกว่าตัวข้าเจ้าเป็นคุณครูเสียอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่ถอว่าเป็นเรื่องแปลก กว่าจะรู้ก็ตอนท้ายสุดของการสนทนาแล้ว เราเองก็สำรวจตัวเองอยู่เช่นกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนเรียกตัวเราว่าเป็นคุณครูโรงเรียนสัตยาไส รู้สึกได้ว่าใจมันพองเล็ก ยอมรับหน่อยว่าใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดมีความประหม่าอายเล็กเกิดขึ้นกลางใจเช่นกัน

ช่วงบ่ายขณะนั่งทำงานอยู่ที่ห้องพักของอาจารย์ คุณครูเลขาฯต้องออกไปทำธุระนอกโรงเรียนในตัวจังหวัดจึงไม่มีใครสอนนักเรียนแทนเพราะว่ามีสอนหรือติดงานกันแทบทั้งหมด ฉะนั้นเราจึงอาสาสอนแทนเสียเลย ก็เลยต้องรีบฟื้นความรู้เสียหน่อย Question Words กับนักเรียน ม.๑ ตอนแรกนึกว่าใจให้ทำกิจกรรมสนุกๆ แต่ทว่าเวลากับอุปกรณ์ไม่เอื้ออำนวย เพราะอาจารย์ได้ตามหาคนช่วยทำงานเพราะว่าเลขาฯไม่อยู่สักคนเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฟื้นชุดคำชุดภาษาที่เป็นเรื่องยากพอควร เพราะการสอนมันก็จะมีเฉพาะอยู่ แม้แต่ความรู้ก็ยังไม่ใคร่จะเหมือนเดิมนัก ความรู้ก็น้อยนิดเดียวอยู่แล้วด้วย ขณะสอนก็เห็นได้ชัดว่าตัวเองนั้นปัญหาค่อนข้างมากในการเขียนตัวหนังสือบนกระดาน เพราะว่าเรื้อไปนาน ความเมื่อก็บังเกิด พยายามเขียนให้สวยก็กลับไม่ใคร่สวยนัก ซ้ำยังกังวลอยู่ในช่วงแรกๆ เด็กๆก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือมากนัก แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีอยู่แล้ว ต้องมีการตะโกนแข่งบ้าง อาจเป็นเพราะวิธีการพูดหรือการใช้เสียงขณะสอนหน้าห้องนั้นไม่เหมือนกันวิธีการใช้เสียงของทั่วไปอย่างนั้นเอง ไปสักครึ่งคาบก็เริ่มเหนื่อย ความกังวลเรื่องงานที่อาจารย์วานให้ดูแลให้ท่านก็ยังไม่ถึงไหน ดีก็แต่ว่ามีคุณครูอีกท่านมาช่วยเอาไว้ได้ทัน ซึ่งก็ย่อมดีกว่าที่ให้คุณครูท่านนั้นดูแลต่อเพราะเป็นเรื่องของโรงเรียนแล้ว ช่วงสอนใกล้จะจบคาบก็มีความคิด ความรู้สึกต่างๆขึ้นมากมากเหลือเกินทั้งชอบและไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ เห็นมุมว่าจะปรับปรุงเปลี่ยนหรือว่าเพิ่มตรงส่วนไหนอย่างไรทำนองนั้น ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันขณะอยู่หน้าห้องสักเท่าไหร่ คิดเห็นว่าอยากทำนู้นทำนี่ แต่ก็ไรพลังไปอย่างนั้น

ให้งานเสร็จถึงเวลาเรียน แต่อาจารย์ยังไม่เลิกบรรยายให้แขกที่มาเยี่ยมโรงเรียนตั้งแต่เช้า ใช้เวลาทั้งวันจริงๆ เลยเวลามาเกือบชั่วโมง เห็นเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆก็เริ่มเบื่อ บางคนก็สนุกกับการเรียนรู้อยู่กับเด็ก บ้างก็ไม่ คนเรานี่ก็แปลกมีหลายต่อหลายแบบจริงๆ บ้างก็เพื่อคนอื่น บ้างก็เพื่อตัวเอง เฮอะๆ กว่าจะได้เรียนเรียนก็ใช้เวลาอีกพักนึ่งในการปรับภาพให้ชัดจน ทำอะไรต่อมิอะไร เราเองก็รู้สึกว่าเป็นการเรียนแบบบ้านๆจริงด้วยแหละ ไม่ค่อยมีพิธีรีตรองอะไรมากนักสบายๆ เรียกได้อยู่ก็อยู่ด้วยกันขนาดนนี้แล้วนี่หน่า เออสนุกพิลึกๆ ในใจตัวเองก็เห็นความเป็นห่วงเป็นกังวลกับเพื่อนคนอื่นๆเป็นอันมาก ช่วงไหนที่ศัพท์ค่อนข้างยากก็นึกไปถึงคนอื่นๆว่าจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ที่ภาษาก็พอๆกัน แน่หล่ะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ่อย ไม่ได้ใช้เป็นภาษาแม่ด้วยนิ เห็นผัสสะอะไรเข้ามาก็ประมวลผลไปถึงคนอื่นๆเรื่อย ร่ำไป เออแปลกดี เหมือนหลงลืมตัวเองอะไรไปบางอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าลืมอะไรไป จะว่าไม่มีสติก็ไม่เชิง จะว่าบ้าๆเบลอก็คัยคล้าย งงเหมือนกันภาวะอย่างนี้ อาจเป็นมานานแต่ไม่เคยได้สังเกต หรือว่าสังเกตเรื่อยจึงเริ่มเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวเองแช่มชัดขึ้นเรื่อยๆกันแน่?

กว่าจะสอนเสร็จก็เย็นมาก ๖ มงกว่าแล้ว อาจารย์เหนื่อยเป็นอย่างยิ่งแต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่ ไม่เห็นว่าอิดโรยเท่าไหร่นักศึกษษทานข้าวเรียบร้อย ก็พากันกลับ เราเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเราจิ๊กจักรยานคนอื่นเขามาใช้อยู่ได้ตั้งหลายวัน แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาทวงนี่หว่า ก็เห็นว่าจอดอยู่ที่ที่พัก ก็เลยนึกว่ามีคนเอามาจอดไว้ไห้เนียนเลย แฮ่ๆ ทำโทษตัวเองด้วยการเดินจูงจักรยานกลับที่พัก ก็ได้พูดคุยกับคนนู้นคนนี้ วันนี้รู้สึกว่าเริ่มฟังสำเนียงได้ชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง วันนี้ต้องรีบนอนหน่อย เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องไป อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน พาเพื่อนๆไปเที่ยว

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #6

เช้าวันพฤหัสบดีหลังจากสุริยคราสไปเมื่อวาน นี้เหตุการในโรงเรียนก็ปกติดี วันนี้มีแขกมาเยี่ยมชมโรงเรียนมากหลายคณะ บ้างก็ใส่เสื้อสีม่วงเช่นเดียวกับคุณครูที่โรงเรียน ตื่นมามึนๆ ก็สับสนบ้างธรรมดา วันนี้รู้สึกคึกคักเป็นพิเศษเพราะว่าเสนอตัวแปลให้กับเพื่อชาวต่างชาติฟัง วันนี้ไม่ค่อยมีกี่คนนักที่มาฟัง แต่เราก็แปลด้วยความสนุกสนานมากมาย และรู้สึกมีพลังเป็นพิเศษ เมื่อข้างในดีเราเองก็รู้สึกว่าพอใจผลงานพอสมควรแม้ว่าจะเหนื่อย และเพลียมากก็ตามที การแปลนี้ก็เป็นการฝึกตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะว่าจะได้ขุดศัพท์และสำนวนขึ้นมาใช้เยอะ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว

วันนี้เราเองมีหน้าที่อีกอย่างที่รับเอาเป็นภาระของตัวเองเช่นกัน ทั้งที่บางครั้งก็ไม่จำเป็น คือพาไปตลาด ซึ่งส่วนใหญ่ก็พอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง แต่เราก็แสล่นไปเอง เออมันก็เลยเหนื่อยอย่างนี้นี่เอง แต่เราก็รู้สึกม่ความสุขดี แม้ว่าจะไม่ได้อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริงเพราะพะวงอยู่กับคนนู้นคนนี้ เวลาที่กำหนดเอาไว้ แลกเงิน ซื้อของ ต่อราคา ก็เป็นเราทั้งนั้น เห็นได้ว่าเราไม่ค่อยได้อยู่กับตัวเอง ณ ตรงนั้นเลย

ช่วงเช้าอาจารย์บรรยายเรามีเวลามานั่งเขียนงานเล็กน้อย แล้วก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นเพื่อตามให้ไปช่วยดูแลเพื่อนที่มาจากต่างชาติเพราะว่าจะไม่มีคนดูแลคุณครูต้องไปสอน แล้ววันนี้แขกก็เยอะเหลือเกิน เราจึงรีบวางมือจากงานไปช่วยดูสื่อสารให้เท่าที่จะทำได้ วันนี้ก็สนุกสนานดีเพราะว่าสอนบูรณาการคุณค่าความเป็นมนุษย์เข้ากับวิชาต่างๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งของผู้ที่เข้ามาศึกษาดูงาน แม้ว่าจ้องมาแต่จะเอาอะไรก็ตามที่เป็นตัวอักษรกลับไปเสียมากกว่าความรู้สึกและประสบการณ์ตรงของตัวที่ได่รับกับมันตรงหน้า เรารู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูแลเรื่องเหล่า นี้ ความกลัว ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น คล้ายๆกับว่าถูกสั่งให้ทำการบ้าน ตักตวงเอาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะมากได้ ความกลัวที่จะไม่ได้ตามความคาดหวังหรือเอหาที่วางเอาไว้ นั่นแหละที่ทำให้หัวใจเราปิดกั้นความรู้สึกที่เข้ามากระแทกหัวใจเราไป
แต่หลังจากแปลใกล้จบ รู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษอาจเพราะใช้พลังงานเยอะเกินไป ต้องทำอะไรหลายอย่าง ทั้งฟังจับความและแปลออกมา ช่วงบ่ายนั่งอยู่ในห้องรอเริ่มเรียนก็แอบหลับไหลลง ด้วยความเหนื่อยอย่างมหาศาล ไม่ธรรมดาจริงๆกับการแปล ไม่ถือว่าเป็นเรื่องง่ายเลย ตื่นขึ้นมาก่อนเวลาเรียนเล็กน้อย ตั้งใจอธิษฐานขอให้วันนี้ฟังราบรื่นด้วยดี แต่เปล่าวันนี้ฟังไม่รู้เรื่องนักแม้ว่าTeacher จะพูดช้าลงกว่าเมื่อวาน แต่วันนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ง่าย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยๆ ภาษาอังกฤษ เฮอะๆ

ช่วงเย็นก็แยกย้ายทำธุระ เราเองก็พะวงอยู่กับการสวดภชันที่หอเด็กผู้ชาย วันนี้ก็เห็นการตรวจดวงชะตากันบ้าง เพราะว่าครูที่นั่งทำงานที่สถาบันมีความรู้เรื่องนี้อยู่มาก ดูแลเด็กได้ตามสมควร สาวๆก็เลยสนุกสนานกันไป ซึ่งก็แป็นเรื่องธรรมดาของสาวๆทุกชาติศาสนาที่ใคร่รู้เรื่องราวของตัวเอง วันนี้ก่อนขึ้นสวดภชันก็ได้มีโฮกาสเล่นบาสกับน้องเล็กน้อง เด็กๆเก่งกันมา ลีลาพริ้วแพรวพราวจริง ไม่ได้สักลูกเลย เห็นรถของ Teacher ขนเครื่องเสียงมาเยอะแยะเพื่อประกอบการสวดภชัน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกดี เด็กหลายต่อหลายคนก็ชอบใจโดยเฉพาะเด็กเล็ก แต่เด็กโตน่ก็ยากเสียหน่อย ดูเบื่อกับกิจกรรมอย่างนี้ เราเองก็ได้เห็นการสวดภชันของเด็กซึ่งก็เป็นเรื่องดีมากๆที่ทำให้พัฒนาสมองทั้งสองซีกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งด้านการเรียนและดนตรี เพิ่มสมาธิอีกต่างหาก เพราะการร้องเพลงภชันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #5

เช้าวันนี้เป็นวันที่มีสุริยคราสยาวนานเป็นประวัติการในศตวรรษนี้ เพื่อนก็ตื่นเช้ามาภาวนากันเช่นเดิม เราก็ตื่นเมื่อเขาเสร็จกันแล้วเช่นเดิม สบายๆ วันนี้มาสายหน่อยที่ห้องพระเพราะเริ่มนั่งสมาธิกันแล้ว เนียนเข้าไปไม่รู้เรื่องอะไร สบายๆเนียน วันนี้หลังเลิกกิจกรรมห้องพระเราเองก็นั่งอยู่กับพื้น เด็กเดินผ่านก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะก็มีบางคนไหว้ แล้วก็ไม่ไหวธรรมดา แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เห็นมั๊ยคะว่าแขก เป็นผู้ใหญ่นั่งอยู่ กลับไปเดินมาใหม่เดี๋ยวนี้ แล้วผู้ใหญ่นั่งอยู่ต้องทำอย่างไร “ เอาหละสิ ต้องเอาตัวเองไปเป็นตัวละครของเด็ก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ระหว่างนั่งให้เด็กๆคลานผ่านก็รู้สึกกระดากเช่นกัน มีความรู้สึกว่าต้องดูแลตัวเอง และ สูงเหนือกว่าเค้านิดๆโผล่ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้มากนัก เป็นความรู้สึกไม่ค่อยโอเคมากกว่า ต้องรออยู่จนเด็กเดินแถวผ่านจยหมด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดูแลตัวเองในสฐานะการณ์อย่างนี้

วันนี้ช่วงเช้าก็มีเวลาค่อนข้างเยอะพอมควร ขณะนั่งทานข้าวก็มีคุณครูมาฟ้องเราว่าเด็กที่มักจะมาเล่นกับเรานั้นเมื่อวานดื้อเอาเสียมากๆ แล้วคุณครูก็เล่าวีรกรรมให้ฟัง “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันดื้อมาก เป็นการดุครั้งแรกของปีนี้ทีเดียว “ เราเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรก็คงตอบไปขำๆว่า “สงสัยเป็นสัญญาณของการที่จะเกิดสุริยปราคากระมังครับ ธรรมชาติดินฟ้าผิดเพี้ยนไป เด็กๆก็เลยซนเกินกว่าธรรมดา คุณครูอาจต้องไหว้ของดำเด็กอาจกลับคืน” ซึ่งก็ได้ผลคุณครูหัวร่อสบายใจขึ้นมากโข วันนี้ก็ได้ทราบข่าวว่าเมื่อวานตอนเช้าท่านอาจารย์ล้มหัวกระแทกพื้นและหลับไปค่อนข้างนาน ไม่มีใครทราบ อาจารย์ต้องช่วยประคองตัวเองให้มาที่โซฟาที่บ้านพักเอง เมื่อนักเรียนสวดมนต์กันเสร็จจึงได้มาพบท่านอาจารย์ที่บ้านและก็ทราบว่าอาจารย์ท่านล้มลง เป็นเรื่องที่ต้องดูแลอาจารย์ท่านเพราะว่าอาจารย์ทำงานหนักเหลือเกิน เกินความที่ปกติคนช่วงวัยท่านจะทำกัน เรียกได้ว่ามีเวลาพักผ่อนน้อยนิดเดียวเท่านั้น หลังจากเข้าแถวเราก็มานั่งเขียนบันทึกนี้อยู่ที่ห้องพักอาจารย์อาจอง ซึ่งจะมีคนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา เด็กๆก็มานั่งเล่นด้วยเช่นกัน

ชีวิตวันนี้ราบรื่นเป็นปกติทั่วไปช่วงบ่ายมีบรรยายจาก Teacher ในเรื่องของ Philosophy of Educare เราพูดถึงปัญาที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นจากแนวคิด วิธีคิดขอองยุคสมัย การเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนเริ่มที่จะแข่งขันกัน การศึกษาก็เป็นช่องทางที่สร้างคนเพื่อตอบสนองความต้องการภาคส่วนของสังคมอีกเป็นการ เพราะมนุษย์ก็เป็นทรัพยากรที่จะสร้างสรรอะไรๆให้เกิดขึ้นต่อๆไป วันนี้รู้สึกว่าการฟังของเราค่อนข้าง ok แม้ว่าจะมีบางอย่างที่รู้สึกว่าเร้วไป แต่สิ่งที่ได้รับก็ประมาณ 70% ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกประเดี๋ยว มีความกังวลเช่นกันว่าจะใช่เวลาในการปรับตัวนานเกินไป เป็นความขัดแย้งภายในที่กำลังก่อกำเนิดขึ้นภายในหัวใจของตัวเอง

วันนี้กลับที่พักมีเวลาออกกำลังกายด้วยการรำมวยขณะที่คนอื่นๆกำลังสวดมนต์กัน ก็เป็นเรื่องที่สามารถอยู่ร่วมได้อย่างไม่มีปัญหา วันนี้มีวงแลกเปลี่ยนการสวดมนต์ของฮินดูในแต่ละภาษา เรียกว่าเป็นการสอนร้องเพลงก็ว่าได้ สนุกสนานดี เราเองก็ลยทำหน้าที่เล่นกับ Tom เด็กน้อยชาวฝรั่งเศส พอคุณเธอได้พูดคุณก็พูดไม่ยอมหยุด แต่เราก็คุยกันได้ แม้ว่าจะไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เค้าพูดก็ตาม อันนี้ก็เป็นอีกเรื่อง ถ้าเป็นเด็กไทยที่พล่ามขนาดนนี้แล้วเรารู้เรื่อง การให้ค่าตีความของเราจะเป็นอย่างไร เปลี่ยนไปอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสนใจเช่นกัน เพียงเพราะเราฟังไม่รู้เรื่อง อย่างนี้มันเลยทำให้เราไม่รู้สึกรำคาญ หรือว่าเพราะความน่ารักของเด็กน้อยตำลมผมทองแก้มย้วยกันแน่....ไว้จะถ่ายรูปมาให้ชมแล้วกันว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไรแล้วคืนนี้ก็หลับเป็นตาย เพราะเหนื่อยใช่ย่อย

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #4

วันอังคารคุณ Yoga ว่าจะไปกรุงเทพ เราเองก็มีความคิดว่าจะไปกรุงเทพด้วยเพื่อเก็บของใช่ที่จำเป็นและหนังสือบางเล่มที่ต้องใช้ซึ่ง โดยติดรถteacher ไป เพราะต้องพานักเรียนไปสอบ cello ที่จุฬา เราเองก็เลยขอติดรถไปด้วยทิ้งพรรคพวกทั้งหมดไว้ที่โรงเรียน เพราะวันนี้เราไม่นักศึกษาไม่มีเรียนอะไรเรานั่งรถมาซึ่งเป็นส่วนท้ายกระบะ เออ แต่งตัวก็ดีแต่มานั่งท้ายรถ สนุกดีเหมือนกัน ก็เป็นโอกาสดีที่ได้หลับมาตลอด สบายไป มาตื่นแถวๆใกล้กรุงเทพแล้ว รถก็เริ่มติด อย่างนี้ทุกที


รายงานตัวตอน 08.30 ซึ่งตอนนี้ยังอยู่บนถนนอยู่เลย แต่ก็ยังไปทัน เราเองก็ได้กลับถิ่นเก่าเหมือนกัน เพราะว่าโรงเรียนของเราก็เคยอยู่ที่นั่นก็เลยเป็นเรื่องดีที่จะได้ช่วยเหลือน้องๆเค้าบ้าง ก็เสร็จสรรพ เห็นความกังวลของน้องเค้าอยู่บ้างในตอนเช้าเพราะว่ามีการเปรียบเทียบกระเป๋าใส่อุปกรณ์กับเพื่อนที่มาสอบคนอื่นๆอยู่ ซึ่งเราเองก็เข้าใจเพราะเราเองก็เป็นอย่างนี้มากก่อน ทำให้เราได้กลับไปมองในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร เพียงแค่เฝ้ามองเท่านั้นพอ หลังจากเสร็จจากการส่งน้องแล้วเราก็กลับบ้านมาเก็บของ วันนี้แม่หยุดเราก็ได้อ้อนอยู่กับแม่อีกพักหนึ่ง แม่ว่าเป็นช่วงสั้นๆแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดี

เก็บของกินข้าวอาบน้ำเสร็จแล้วเราก็ออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่ถนนสุขุมวิทเพราะว่านัดกับ Teacher เอาไว้เพราะว่าจะได้ติดรถกลับด้วยกัน เราไปแวะที่ Peterson เพื่อพาคุณ Yoga ไปซื้อไวโอลิน อืมสนุกดี ได้รู้เรื่องไวโอลิมมาย้างพอสมควรเพราะมี Teacher อีกคนที่สอนไวโอลินที่โรงเรียนเป็นคนเลือกให้ การเลือก ก็มีรายละเอียดเล็กน้อยต่างๆ แต่สุดท้ายก็อยู่ที่เสียงว่าจะเป็นอย่างไร ชอบเสียงแบบไหน ซึ่งราคาก็เป็นที่ทราบกันดีว่าไม่ธรรมดาเลย คนสามัญกินเงินเดือนคงไม่สามารถตัดใจซื้อมาเล่นได้ อืมเอาน่า! ซื้อขลุ่ยมาเป่าเหมือนเดิมไ ม่ก็เล่นตบมือเล่นไปเหมือนเดิมดีกว่า ฮิๆ ใช้เวลาค่อนข้างเยอะในการเลือกซื้อนู้นซื้อนี่ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ได้ตักตวงความสุขที่เกิดขึ้นจากคนอื่น เห็ฯคนอื่นสุขกระแสสุขก็ส่งผ่านมาถึงเราได้ด้วยเช่นกัน

จากนั้นก็แวะไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตเสียหน่อย เออเราเดินผ่านสุรา ก็เกิดอยากกิน เห็นอาการอัตโนมัตเลยว่าจะเอื้อมมือไปหยิบเออสนุกดีเนอะความคุ้นชิน ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะซื้อชาอันไหนดี ต้องแพงหรือเปล่า แล้วก็รู้ว่าไม่เห็นจำเป็นซื้อของปกติก็พอ ซึ่งก็อร่อยดี เราซื้อขนมปังกับนมมาฝากคุร Yoga ที่เป็นคนดีมานั่งข้างหลังเป็นเพื่อนเรา ซึ่งขนมปังกับนมเป็นของที่มาจากสัตว์เขาก็ไม่กิน ทั้งหมดเลยเป็นหน้าที่ของเราเท่านั้น อิ่มแปร่เลย

คุณYoga เขาก็เป็นคนดีเหลือหลายที่มานั่งข้างหลังกระบะเป็นเพื่อเรา เราเข้าใจดีว่าอยากจะมาพูดคุยกับเรา แต่แล้วมันก็เป็นเรื่องยากที่จะเบียนกันอยู่ในนั้น ซึงมีข้าวของเยอะแยะอยู่พอควรอยู่แล้ว เรานั่งมาพูดคุยเรื่องราวในชีวิตกันมาหลังรถกระบะ สนุกสนานดี ขากลับนี้ แต่ทว่าก็เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะพยายามสื่อสารกัน เพราะ Limited English ด้วยกันทั้งค็ก็เลยพอเข้ากันละมะ คุณเขาเป็นคูรอยู่ที่บาลีสอนศาสนาอย่างที่ทราบ เขาก็ต้องการความฟรีในการสอนเช่นกัน ไม่ต้องการถูกกรอบบังคับคล้ายกับเราเช่นกัน เออคุยไปคุยมาก็มาถึงเรื่องของบาบา เราก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ที่บาบามาเข้าฝัน ก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกัน

เรานั่งคุยมาเรื่อย Teacher แวะหานักเรียนคนหนึ่งที่มีพรสวรร์ทางดนตรีมากคนหนึ่ง ซึ่ง Teacher เป็นคนส่งให้เรียนอยู่ เราเองสามารถเห็นความรู้สึกที่พวยพุ่งออกมาได้ เอครูและศิษย์มาพบกัน ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยที่ความรู้สึกเก่าๆที่เราเคยประสบจะหวลกลับมาให้รู้สุ กความตื้นตันก็พวยพุ่งขึ้นสู่หัวใจ หลังากใช่เวลาพูดคุยกันอยู่นาน ก็ได้เวลากลับโรงเรียนกันเสียที ฝนใกล้จะตกแล้ว คุณเพื่อนของเราก็จะมานั่งข้างหลังด้วยกัน แต่เรารู้สึกว่ามันจะยิ่งเบียดมาก ในระยะทางไกล เราเลยทำตัวเป็น น้องชั่วอีกครั้ง ชิ่งไปนั่งข้างหน้าเสียอย่างนั้น ๕๕๕ เลวพอตัว แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกจริงหรือไม่ ที่จะได้เห็นใจตัวเองว่าเป็นห่วงไอ้เจ้าคนนี้แค่ไหน และเห็นใจตัวเองว่ารู้สกผิดเล็ก และแอบสะใจหน่อยๆเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าก็นั่งมาจนถึงโรงเรียนคนเดียวหลังรถเลยก็แล้วกัน

มีแวะจอดพักนิดหน่อยแต่ทว่าลงไม่ได้เพราะฝนตกแรงมาก กระบะหลังก็รั่ว อันนี้เรารู้ดีเพราะเจอกับตัวเองมาแล้วในตอนเช้า กลางทางที่sms มาถึง ถามว่าจะกลับหรือเปล่าจะได้ล็อกประตู โอ้ว!! เหมือนแม่ หรือไม่ก็เมีย ตามตัวอย่างไรอย่างนั้น เออ เห็นความหวังดีที่ทรอดแทรกมาในsms นี้ได้ เออ ไอ้ความรู้สึกเหล่านี้มันเกิดขึ้นเพราะเค้ารู้สึกอย่างนั้นแล้วเรารับรู้ หรือมันเกิดขึ้นภายในใจของเราเท่านั้นกันแน่ ไม่ทราบ

๕๕๕

และแล้วตอนนี้ก็มี แฟรคลับเป็นคุณครูในโรงเรียนด้วยนะครับ....

อย่างไรแล้วก็ อย่าลืม Comment ด้วยนะครับ

อ่อ แล้วงานเขียนทั้งหมด ก็ออกมาจากตัวผมนี้แหละครับ เป็นทัศนะคติ ที่สัตย์ซื่อกับมันจริงๆ เป็นการตีความของผมคนเดียวด้วย ไม่เกี่ยวข้องกับใครแต่อย่างใด.....

ผู้เขียน

เกี่ยวกับฉัน

ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา