วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ณ สัตยาไส อินเตอเนชั้นแน่ว...#3

เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาอีกแล้วเพราะว่าเพื่อนรูมเมทผมตื่นขึ้นมาทำการภาวนา แต่ผม ก็นอนภาวนาเช่นเดียวกัน วันนี้เป็นวันจันทร์ เราได้รถมาใช้หนึ่งคัน ก็ทำหน้าที่เป็นคนขับรถเหมือนเดิม(อีกแล้วทุกงาน) ก่อนขับรถไปในตัวโรงเรียน เราก็ได้พาบรรดาเพื่อนไปแวะที่ห้องซักเสื้อผ้า เพื่อส่งผ้าซัก ก็สนุกสนานดี วันนี้เป็นวันแรกที่ทุกคนได้เข้าไปห้องพระถือว่าเป็นวันเริ่มแรกของการเริ่มเรียนด้วยเหมือนกัน วันนี้เรานั่งสามธิม่ค่อยนิ่งนัก เพราะว่ามีหลายสายเข้ามาปนๆกัน ปนกันไปมาตีกันบ้าง เข้ากันได้บ้างสนุกพิลึก วันนี้ก็ให้นักศึกษาได้กล่าวแนะนำตัวให้กับเด็กด้วยเป็นภาษาบ้านเกิดตัวเอง เออก็สนุกดี เราก็แนะนำตัวว่าชื่อภูมิ อยากจะเรียกว่า “ครูภูมิหรือ ว่าพี่ภูมิก็ได้ทั้งนั้น” ซึ่งแต่ละคนก็ได้ส่งภาษาของตัวเอง สนุกดีดูเด็กๆตื่นเต้นกันใหญ่ วันนี้ก็ดำเนินไปตามปกติ หลังจากทานอาหาร ก็เป็นการเคารพธงชาติ อาจารย์ได้กล่าวให้เด็กฟังหลังทานข้าวว่า “เราเองก็เหมือนน้ำที่พยามออกไปสู่โลกภายนอก จากมหาสมุทรก็ระเหยกลายเป็นไอแล้วก็กลับกลายรวมกันเป็นเมฆ กลั่นตัวตกลงมาเป็นน้ำฝน ลงสู่พื้นดินทำความอุดมให้แก่ปฐพี แล้ววันหนึ่งก็กลับกลายเป็นน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรต่อไป ผ่านวัฏจักรนี้ไปเราก็ได้กลับไปสู่ความจริง กลับสู่พระเจ้า หรือกกลับสู่นิพพานตามแต่ที่ตนเชื่อ” เราได้เรียนรู้เยอะแยะจากคำพูดเช้านี้ของอาจารย์ คำพูดง่ายๆแฝงไปด้วยเรื่องราวแห่งความจริงแอบซ่อนอยู่เสมอ
ก่อนเริ่มชั่วโมงแรกหน้าที่คนขับรถยังไม่หมด พาเพื่อนไปตลาดเพื่อทำธุระส่วนตัว ซื้อของบ้าง แลกเงินบ้าง ส่วนมากเป็นของที่ต้องการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชีวิตทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ที่Chart โทรศัพท์ เบาะรองนอน ฯลฯ ซึ่งก็เห็นว่าพวกเขาซื้อเท่าที่จำเป็นไม่ได้ต้องการของดีอะไรมากมายนัก ใช้ของที่สามารถใช้ได้สบายๆเท่านั้น เราเองก็ต้องพยายามเต็มที่เพื่อดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียม ค่อนข้างเหนื่อยแต่ก้มีความสุขที่ได้ทำงานเหล่านี้เมื่อได้รับคำขอบคุณที่สื่ออกมาจากหัวใจที่สัมผัสได้จริงๆ ระหว่างขับรถไปตลาดเราเองก็เห็นความกลัว ที่ผุดขึ้น ตอนที่พาคนนู้นคนนี้ไปนู้นมานี่ ก็เห็ฯความกังวล ไม่ได้อยู่กับตัวเองเท่าไหร่
ช่วงเช้านักศึกษาเริ่มเรียนชั่วโมงแรกกับอาจารย์อาจอง วันนี้อาจารย์พูดเรื่อง การทำสมาธิให้กับนักศึกษาว่าแบ่งออกเป็นสามขั้น และเรื่องราวของการตามความความสงบและความสุขที่แท้จริง ตามหามานานว่าอยู่ที่ไหน ออกเดินทางไปไกลแสนไกล สุดท้ายเราก็กลับมาเจอที่ บ้าน ของเรา
ช่วงบ่ายก็มีชั่วโมงเรียนของTeacher ซึ่งเราเองก็เหนื่อยเอามากๆ ง่วงด้วย Teacher บรรยายเรื่องการศึกษาสัตยาไสให้เราฟังซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องการอยู่พอดีในการทำThesis แล้วก็หวังว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้จริงๆในอนาคตอันใกล้นี้ Teacher มีเปิด วีดีโอให้ดู แต่เราก็หลับอยู่เรื่อย เพราะเหนื่อยเหลือเกิน วิดีโอเกี่ยวกับงานของบาบา แล้วก็เรื่องการศึกษาสัตยาไส ไม่ค่อยทันเท่าไหร่เพราะมัวแต่หลับเป็นส่วนมาก
ตกเย็นมีสอนคุณ Jyotshana ขี่จักรยานอีก วันนี้เธอขี่ได้สบายแล้ว ไม่ต้องห่วง พขี่สองรอบ แล้วก็มั่นใจขี่เองได้เลย สบาย เราเลยปล่อยเธอให้ขี่เป็นเหงื่อออกเยอะแยะไปหมด เห็นคุณน้าทำได้ก็ดีใจและสนุกแทนน้าแกไปด้วยเช่นกัน
กลับที่พักเรามารำมวย ส่วนคนอื่นๆก็สวดมนต์เป็นกิจวัตรต่อไป เราเองก็มานั่งภาวนากับเค้าในช่วงสุดท้ายเหมือนกัน แต่วันนี้ไม่ได้คุยอะไรเท่าไหร่ คงเหนื่อยกันเลยแยกย้ายกันไปหมดเราเองก็รีบนอนเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #2

รุ่งเช้า Yoga ตื่นแต่เช้ามาภาวนา ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนอะไร ให้แก่ร่างกาย แต่สร้างความร้อนใจแก่เราพอตัว เพราะเริ่มเห็นอาการเปรียบเทียบที่เกิดขึ้น และก็เริ่มกังวลว่าจะไม่ยอมตื่น.... แต่ก็ตื่นมาด้วยดี อาบน้ำเตรียมพร้อมแล้ว พบเพื่อนใหม่อีกคนมาจาก เปรู สูงอายุสักหน่อย ชื่อว่า Liliana Sumarriva ป้าแกก็ดูขยันดี แต่ท่าทางเอาเรื่องพอตัว เดาเอาจากแววตา ไม่เคยได้รู้จักเพื่อนแถบนี้มาก่อน คงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ได้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตอนเช้าเราออกเดินไปห้องพระ การภาวนาเริ่มประมาณ ๕.๔๕ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาที สบายๆ ไกลเหมือนกัน! ชักเมื่อยเพราะว่าแบกของเยอะพอตัว เข้าห้องพระพบความเปลี่ยนแปลง ดูมีความเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นในการดูแลเด็ก และ ตัวเด็กเอง เมื่อวาน Teacher บอกว่า นักเรียนม.๖ปีนี้เป็นนักเรียนที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องๆได้ แต่ว่าไม่ค่อยมีข้างในมากนัก ผิดกับรุ่นที่แล้วที่เป็นตัวอย่างไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ข้างใน มีความเป็นศิลปินอยู่เอามาก ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง

เข้าห้องพระ สวดมนต์ นั่งสมาธิเรียบร้อย ก็เดินออกไปกินข้าว เด็กยังเข้ามากอดอาจารย์อยู่เป็นกิจวัตร ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของทั้งอาจารย์และเด็กเลยก็ว่าได้ (โดยเฉพาะเด็กตัวเล็กๆ) ข้าวเช้าวันข้าวต้น ที่โรงเรียนนี้ทานมังสวิรัตกัน ไม่มีเนื้อสัตว์ไม่มีจริงๆ กินผักกินหญ้าไป หลังกินข้าวพบเพื่อนชาวเนปาลอีกสามคน โอ๊ย....! ส่ายหัวด๊อกแด๊ก ฟังไม่รู้เรื่อง ลิ้นระรัวเป็นพลันวัน คุณ Bishwadeep และ Jyoti Adhikari เป็นคู่สามีภรรยา คุณผู้ชายเป็นทนาย คุณผู้หญิงเป็นครู แล้วก็อีกคน ชื่อ Jyotshana Gamair คนนี้ก็เป็นครูเช่นกัน โฮ้ว! โฮ้ว! ฟังไม่รู้เรื่อง ลิ้นระรัว!! เราเองก็ส่ายหัวเหมือนกัน แต่ คนละความหมาย 555
วันนี้ตอนสายๆพาไปเที่ยวตลาดกัน เลือกซื้อผลไม่กันอย่างสนุก เงาะ มังคุด ลางสาด ฝรั่ง คนละนิดละน้อยพอปะทังชีพได้ เราเองก็ซัดซะ...555 ไหนๆก็ไม่ได้กินเนื้อ ก็กินผลไม้แทน กลับมาพักที่หอ เพราะความเหนื่อยมันสะสม ไม่รู้ว่ามาจากไหร เห็นคนอื่นๆเค้าเหนื่อยจากการเดินทางก็เลยเหมาเอาว่าเหนื่อยบ้าง สบายไปได้หนึ่งงีบก่อนกินข้าว หลังกินข้าวเราเองก็สนุกกับการทำนู้นทำนี่เขียนบันทึกบ้าง เขียนอะไรต่อมิอะไรบ้าง เพื่อนนักเรียน อีก สามคนก็มาถึง Anne กับลูกชาย Tom Karnowsky เป็น ฝรั่งเศส Bonjour, Bing! สาวอินเดียกลางคนหนึ่งคน และเป็นสาวอีกคนซึ่งอยู่ที่London คือ VijayShree Krishnan และ Nivedida Chopa เออ ค่อย ok หน่อยกับภาษาพอฟังสำเนียงรู้เรื่องนิดหน่อย ได้เจอ ครูอีกคนที่ได้เคยได้พบ แต่ได้รู้จักชื่อ ครูครูหนุ่ย ผู้แฝงฝังตัวอยู่อยู่ห่างไกลผู้คน และร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนไทยอยู่ น่าสนุกพิลึกแก๊งนี้

หลังจากการOrientationแล้ว ก็มีการถามนิดหน่อยว่าใครต้องการจักรยานบางหรือไม่ ซึ่งเราก็ต้องการเป็นที่แน่แท้เพราะไม่อย่างนั้นเราต้องเดินไปเดินมาน่องโป่งพอดี พอแม่หญิงชาวเนปาล อยากได้รถแมงกะไซด์แต่ ทำไงได้ที่นี่ไม่เห็นมี เราเลยบอกว่าจะแนะนำให้ว่าปั่นอย่างไร เลยช่วงเย็นนี้ก็เลยต้องประคอง แม่หญิงคนนี้นิดหนึ่ง ด้วยความสูงวัยของเธอ แต่ดูเธออยากปั่นรถถีบได้ ก็เลยให้เธอลองปั่นรถถีบดู ตอนรแกก็เห็นว่าถอดใจเพราะว่ายากเหลือเกิน ค่อนข้างลำบอกสำหรับชุดของเธอที่รู้สึกว่ารุ่มร่ามเล็กสำหรับการหัดปั่นจักรยาน มีแม่หญิงชาวอินเดียอีกคนมาช่วยGuide ให้นิดๆ แม้ว่าเธอคนนี้จะไม่ได้ขี่มาตั้งแต่สิบสอง แต่ ก็โอเคมันอยู่ในเนื้อในตัว สบายๆ ขี่ได้อยู่แล้ว ช่วงประคองจักรยาน เราไม่ได้มองเห็นตัวเองเท่าไหร่นัก รู้แต่ว่า แม่หญิงชาวเนปาลนี้เกร็งมาก เอาการ จาก ท่านั่ง อวัยะวะทุกส่วนของร่างกาย...ยิ่งรู้แน่ชัดเมื่อ เราเหลือบไปเห็นมือของเธอเป็นแผลเพราะว่า เกร็งกัการจับแฮนด์รถถบมากจนเกินไป แต่มันก็แสดงถึงความตั้งใจของเธอได้เป็นอย่างดี เราเห็นถึงความไม่มั่นใจของเธอู้นี้เพราะขณะเราจับเรารู้ได้ว่าเธอพอจะทรงตัวได้แล้วแต่ความกลัวที่เข้ามาแทรกนั้นเกินจะอธิบายได้ เราก็ประคองเธอเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเธอสามารถไปด้วยตัวเองได้แล้ว เราก็เริ่มปล่อยมือ แต่ยังคงทำราวกับว่า เรายังประคองเธออยู่ ทุกคนที่เห็นปรบมือให้เธอ เธอเห็นก็ยังไม่สนใจจนกระทั่งเธอลงจากรถถีบ แล้วระลึกว่าเธอสามารถขี่รถถีบได้แล้ว อันนี้เป็นเรื่องแปลกที่ว่า ผู้ใหญ่มักจายึกเอาความกลัวที่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดเข้ามามากกว่าเด็กทำให้ปิดกั้นอะไรบางอย่างของตัวเองไปเสียสิ้น... เราบอกให้เธอผู้นี้วางความกลัว แล้วเชื่อมั่น แรกเลยอาจเชื่อมั่นในตัวผู้ที่คอยประคอง แต่แล้วก็กลับมาเชื่อมั่นตัวเอง ซึ่งเราเห็นได้จากตัวเธอเองอยู่แล้ว แล้วเธอเองก็ทำได้ สบายๆ เนียนๆ

รายงานความคืบหน้าของชีวิต ณ สัตยาไส อินเตอเนชั้นแน่ว...

โฮ้วจอร์จ! เป็นเรื่องแล้วครับ กลับตอนแรกคิดว่าจะง่ายๆ ไม่ยุ่งยากนัก กับการเรียนในหลักสูตรของสถาบันการศึกษาสัตยาไส เกี่ยวกับ เรื่องคุณค่าความเป็นมนุษย์ (Human Value) ได้พบได้เจออะไรก็เลยเขียนมาเล่าให้ฟังกันครับ เฮอะๆ

หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเข้ามาศึกษาความเป็นไปเป็นมา การเปลี่ยนแปลงของนักศึกษาที่เข้ามาเรียนในหลักสูตรนี้เพื่อทำเป็นวิทยานิพนธ์ด้วย แต่แล้ว คำถามที่ไม่ชัดเจนของตัวเองก็ทำให้ หัวข้อไม่ผ่าน แต่ก็ยังตั้งใจที่จะมาเรียนอยู่ดี ติดต่ออาจารย์ดร.อาจอง ไว้เรียบร้อยแล้ว จะไม่มาเรียนก็กะไรอยู่ ปรึกษาปัญหายิ่งใหญ่นี้กับอาจารย์ ท่านก็กรุณาให้คำปรึกษาว่า “ก็รีบทำหัวข้อเลยสิ จะได้ส่งให้อาจารย์ของเราท่านพิจรณา” ซึ่งขั้นตอนต่างๆในระบบของมหิดลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้มันผ่าน ต้องผ่านู้นผ่านนี่ เยอะแยะไปหมด เราก็ตัดสินใจว่า ก็อยู่เรียนไปทำหัวข้อไป ได้ความรู้ได้หัวข้อเอง เอ้าไหนๆก็ไหนๆแล้ว เสื้อผ้าที่ตอนแรกว่าจะมาอยู่สักแค่อาทิตย์ก็กลายเป็นว่าคงต้องอยู่เป็นเดือน เอาหล่ะสิ ดีว่ายังอยู่ใกล้ๆบ้านคงไม่เป็นไรนัก

มาที่โรงเรียนเมื่อวันเสาร์ (คือเมื่อวาน) ตื่นไม่เช้ามากนักเพราเหนื่อยกับ เมื่อวันศุกร์ที่โนอาจารย์ร่วมกันช่วยขุดคุ้ยหาความจริงให้กับหัวข้อของตัวเอง แต่แล้ง มันก็กลับเป็นว่า....มาเริ่มต้นกันใหม่ หาความชัดเจนในตัวเองซะ!! ไม่เป็นไร ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆดีกว่า เพราะการทำเพื่อคนอื่น กลัวคนอื่นลำบาก กลับยิ่งทำให้คนอื่นๆ ลำบากยิ่งขึ้นไปอีก เออ ไม่น่าเชื่อการคุ้ยเขี่ยตะเข็บของหัวใจที่อาจารย์ท่านกรุณานี้ได้ผลเห็นความติดดีที่มีเอามากของตัวเอง กลับมาต่อ การมาโรงเรียนสัตยาไส ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ขึ้นรถที่ห้าง Century ตรงอนุเสาวรีย์ชัยฯ 140 บาท ถึงเลย หน้าโรงเรียน สะดวกสบายเอามากๆ คนบนรถก็ไม่แน่นนัก นั่งมาหลวมๆ ดูเราเป็นคนแปลกแยกกว่าคนอื่นอยู่พอตัว ทั้งการแต่งกายก การวางตัว... เออแปลกดี เห็นอยู่นะ แต่ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ดีที่สุดคงเป็นการหลับ และ มีลมหายใจเหมือนกัน แวะปั๊มน้ำมัน หนึ่งครั้ง แถวๆหินกอง เราได้ยืดเส้นยืดสายสบายๆ เข้าห้องน้ำ ซื้อขนมของฝากให้ใครๆ

นั่งรถอีกสัก ชั่วโมงกว่าก็ถึงโรงเรียน เราต้องเดินเข้ามาในโรงเรียนซึ่งระยะทางพอควรกับสัมภาระที่มี เพราะว่า น้ายามไม่ยอมให้เราเข้า ถามว่าเรามาทำอะไร? เราก็ตอบว่ามาหาอาจารย์ ตอนแรกว่าจะแลกบัตร เห็นความวิ๊บขึ้นในใจเล็ก ว่าต้องแบกของเดินเข้าไปตั้งไกล แล้วก็เรามาตั้งหลายครั้งแล้วยังต้อนรับแบบนี้อีกเหรอ? เพียงแค่เห็น มันก็กลับยิ้ม...(ยังฝืนยิ้มอยู่ เพราะว่าของหนัก) เดินเข้ามาในโรงเรียน พบความสดชื่น สมหวังในหัวใจที่ได้กลับมา แม้เพียงมาเหยียบก็สุขใจ แล้ว แปลกว่าไม่ได้เป็นศิษย์เก่าที่นี่แต่มาถึงก็มีความสุขเหมือนกัน เดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็พบกับเด็กน้อยสองคน อ่าว... มาครั้งที่แล้วก็เห็นเด็กน้อยสองคนนี่ก่อน มาครั้งนี่ก็เหมือนกัน พบว่าตัวโตขึ้นกันทั้งสองคน ตอนนี้อยู่ป. ๒ กันแล้ว ยังเหมือนเดิม สายตาประหลาดใจพร้อมคำถามว่า “มาอีกแล้วเหรอ คราวนี้มาอยู่นานมั๊ย อยู่นานๆนะ” หัวใจพองน้อยๆ แม่จะเริ่มหอบเพราะเหนื่อยจากการเดินแบกของ เข้าไปพบอาจารย์ และ Teacher Loraine อาจารย์ชาวต่างประเทศที่อยู่ ที่โรงเรียนมาตั้งแต่เริ่มตั้งใหม่ๆ อยู่จนพูดไทยได้คล่องแล้วมีโรงเรียนเป็นเหมือนบ้านเลยทีเดียว

เข้าไปพบอาจารย์ที่บ้าน อาจารย์ส่งรอยิ้มต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นเคย แต่รู้สึกว่าอบอุ่นกว่าทุกๆครั้ง เป็นสายตาแห่งความโอ่นโยนอย่างยิ่งที่ได้รับ มองลึกลงไปไม่สุด ไม่เห็นอะไร นอกจากความเมตตาในสายตาคู่นั้นอย่างยิ่ง “โอ้ว!มาแล้วเหรอ” แล้วก็คุยกับอาจารย์เรื่องThesis ว่ะอย่างไรดี อาจารย์ก็แนะนำให้เป็นอย่างดีว่าควรจะทำอะไรอย่างไร ได้เท่าที่เป็นไปได้ อาจารย์ท่านว่าอย่างนั้น เอ้าเอาไงเอากัน%

พักใหญ่Teacher พาเราเข้ามาที่พัก สายตาคำพูดยังแสดงความห่วงใยเราในเรื่องของ Thesis อยู่ ด้วยความเห็นใจเช่นกัน สถานที่พักอยู่ปลายทาง ท้ายบริเวณของโรงเรียน ตึกโทรมๆเพราะไม่ใคร่มีใครเข้ามาพักนัก ปีหนึ่งจะมี สัก 30 คนได้ ไม่มีใครอยู่แบบยาวๆ ซึ่งถ้าอยู่ยาวๆก็มักจะอยู่ในบริเวณใกล้หอพักนักเรียนหน่อย โอ้วมีวัว มีไก่ด้วย ดูแล้ว น่าสนุกดี มีความรู้สึกแว๊บเข้ามาในหัวใจเป็นการตีความนิดๆว่า ไม่น่าไหวหนา... มีเพื่อนนักศึกษามาแล้ว 3 คนเป็นชาว Mexico สองคน อีกคนเป็นชาวIndonesia คนหลังนี้เป็น Roommate ด้วยสิ โว้ว! มาแล้วครับ ต้องขุดวิชาภาษาอังกฤษมาใช้เสียแล้วครับ สองสาวMexican ก็เป็นสาวสวยคนคายตามแบบ สาวอเมริกันใต้ คนหนึ่งดูไม่น่าห่างกับเรามากนัก อีกคนก็น่าจะราวสามสิบแก่ๆ ส่วน คุรรูมเมทของเราก็น่าจะประมาณ สามสิบต้นๆ เช่นกัน อืม คุณรูมเมท นี่น่ารัก ดูจิตใจดีมากๆ วอบถามได้ความว่าเป็นคุณครูอยู่ที่ บาหลี (เอ้าเพื่อนๆจิตตปัญญาเตรียมเฮ) เป็นชาวฮินดู สอนศาสนาในโรงเรียนเช่นกัน วันนี้เราคุยกันเรื่อง ภาวนา กันพอตัว บอกให้เขาช่วยสอนเราด้วย ติดก็แต่ว่า ภาษาอังกฤษขอทั้งคู่...555 แต่ก็ดีที่ได้อยู่กับ คุณคนนี้ เพราะว่าทำให้เราได้กล้าที่จะพูดมากขึ้น เพราะไม่ต้องกลัวผิด เพราะพี่แกก็ผิดพอๆกัน เออมาทบทวนตอนนี้ก็เห็นว่า มีอาการเหนือกว่าเล็กที่ผุดขึ้นทำให้เรากล้าพูดกับคนนี้ อ่อ ลืมบอกชื่อไป คุณคนนี้ชื่อ Gusti Ngurah เขาให้เรียกว่า Yoga ก็ได้ ส่วนผู้หญิงMexican ชื่อ Maribel Judith และ Blanca Elena คนแรกนี้เห็นว่าเป็น วิศวะกร ส่วนคนที่สองนี่เป็นลูกสาวร้านขายขนมปัง แล้วก็ทำงานการเงินอยู่ที่บ้านตัวเอง เออเอาสิตู.... คงต้องมาฝึก กราเซียส โอ้ฮ่า ซะแล้ว

ตกเย็นมีการแสดงดนตรสัก เพื่อเป็นการซ้อมให้กับน้องคนหนึ่งที่จะไปลองสอบที่จุฬา ในวัน อังคาร ก็เรียกความมั่นใจให้น้องคนนี้ ลดความประหม่าปได้เบอะกับวิธีการเรียกคนมาดูเยอะ แม้ว่าจะเป็นเพื่อน พี่ๆ น้องกันเองก็ตาม น้องเค้ามีพรสวรรค์ที่ดี ปีนิดเดียว กับ Cello ก็เล่นโซ่โลของ บารค์ได้แล้ว นับว่าไม่ธรรมดา จริงมั๊ย? ที่น่าประทับใจกว่านั้นคือ มีนักเรียนเก่าที่จบไปจากโรงเรียนเมื่อปีที่แล้วกัลบมา เป็นนักดนตรีของโรงเรียน และเป็นนักเรียนดนตรีที่ ศิลปากร และก็ที่รังสิต เข้ามาจอย กับน้อง อาจารย์ผู้คุมวงก็เล่นด้วย “โอ้ว ฝรั่งเรียกเป็นเอ็นจอยมากๆ” เคลิ้มไปได้เลย ดีมาก ผิดบ้างเพี้ยนบาง แต่ก็มีความสุขนี่น่า ดนตรีเราเล่นเพื่ออะไร มีความสุข หรือใช้เป็นเครื่องมือของการจับผิดกัน? อาจารย์อาจอง ก็เล่น เปียโนได้อย่างพริ้ว อาจารย์เคยถวายงานดนตรีกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยเมื่อครั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ชื่อเพลงอะไรไม่รู้ แต่รู้ว่าเก่า แล้วก็มีเนื้อร้องคับคล้ายว่า “แสงดาวสวยพราวดูเด่น เล็งเห็นเหมือนตาของเธอ เฝ้าเพ้อหัวใจละเมอรำพัน...”ฝังแล้วใจจะละลาย ยิ่งอาจารย์บอกว่าเป็นเพลงที่เคยเล่นถวายด้วยแล้ว ขนแขนก็สแตนอัพในทันใด

เมื่อคืนที่ผ่านมานั่งทำงานอยู่ที่ที่พัก ที่พักนี้เป็นหลายอย่างเป็นเหมือนบ้าน Academy ทำนองนั้นเลย เพราะว่า เป็นที่เรียน และเป็นที่พักในตัว มีห้องครัว เครื่องออกกำลังกายไว้บริการ (มีเครื่องเดียว แอ๊บโดมิไนเซ่อร์) เมื่อคืนขระนั่งทำงานพบว่ามีสายตามาจ้องๆมองเราอยู่ และก็มีพลังงานอะไรเดินไปเดินมาอยู่เนืองๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติแต่อย่างใดนอกเหนือจากนั้น ก็เข้านอนด้วยความปกติสุข แม้ว่าตอนนอนจะเกร็งๆเล็กกับการที่มีเพื่อน รูมเมทคนใหม่ ตกดึกสักหน่อยเพื่อนๆจากต่างประเทศ อีก 4 คนก็เดินทางมาถึง เป็นใครไม่รู้เหมือนกัน แก่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เฮอะๆ เพราะพักนี้ได้เพื่อนแก่อยู่เรื่อย

เกี่ยวกับฉัน

ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา