วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552

youth inspiration camp



การจัดกิจกรรม ครั้งนี้เป็นเสมือนการเรียนรู้แบบ Project Based Learning ของทีมและของตัวเอง เป็นการเรียนรู้ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นคิด ทำ แก้ปัญหา สรุปผล ปรับปรุงต่างๆนานา เรียกได้ว่าเปิดโลกของชีวิตการทำงานที่เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง

จากความรักของ “แม่” หรือ”โลก” ที่คอยโอบอุ้มเกื้อกูลสรรพสิ่งที่อยู่ในตัวเธออันเป็นเสมือนเหล่าเซลต่างๆที่เคลื่อนที่เคลื่อนไหว ประกอบกันเป็นสิ่งต่างๆบนโลก Gaia (กาญ่า) ชื่อของเทพที่เป็นเสมือนแม่ผู้ดูแลโลกใบนี้ จึงได้นำมาใช้เป็นเครื่องเตือนใจเหล่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ หรือ่านเป็นสำเนียงไทยๆว่า “กายา” อันหมายถึงความเป็นเนื้อเป็นตัว นั่นเอง

Gaia Education เริ่มต้นจากคนหนุ่มสาวที่มีความฝันที่อย่างจะทำอะไรเพื่อสังคม อยากที่จะเปลี่ยนแปลง คนหนุ่มสาวเหล่านี้ได้รับการเกื้อกูลจากครูอาจารย์ ที่เรียกได้ว่าเป็นกัลยาณมิตรคอยชี้แนะและส่งเสริมสนับสนุนให้ความฝันของพวกเราได้เกิดขึ้น อาจารย์ณัฐฬส วังวิญญู ผู้อำนวยการสถานบันขวัญแผ่นดิน และอาจารย์ธนัญธร เปรมใจชื่น ผู้ก่อตั้งสถาบันThe present (ของขวัญแห่งปัจจุบันขณะ) สองสถาบันการศึกษานอกระบบที่คอยเกื้อกูลเรี่ยวแรง กำลังทรัพย์และเป็นพี่เลี้ยงอยู่เสมอมา

กิจกรรมนี้เกิดจากคนคนหนุ่มสาวไม่กี่คนที่มีแรงบันดาลใจ มีความฝันอยากจะจัดกิจกรรมดีๆให้กับเยาวชน ที่ไร้แรงบันดาลใจขาดความเชื่อมั่นเพราะกระแสสังคมที่กดทับและบดบังจนไม่เหลือพื้นที่ให้เสียงเล็กๆ อันเป็นเสียงแห่งความต้องการเดิมแท้ของตัวเองนั้นได้ถูกรับฟัง จนต้องผันพลังแห่งความต้องการเดิมแท้ของตนเองเหล่านั้นให้กลับสู่ด้านที่มืดมน อันเป็นการเรียกร้องความมสนใจ หรือเป็นการต่อต้านการกดทับนั้นด้วยความรุนแรง อย่างที่เรียกว่า”แรงมาแรงกลับ” การเปิดพื้นที่ให้กับเยาวชนเหล่านั้นมีพื้นที่ให้ได้แสดงออกอย่างถูกต้อง การเยียวยาเซลเล็กๆที่กำลังจะเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นเซลที่มีหน้าที่มาขับเคลื่อนโลกต่อไปจึงเริ่มต้นขึ้น และครั้งนี้ไม่ใช่การทำงานอาสาอย่างที่เราเคยทำๆกันมา เพราะเราคิดกันว่าด้วยความเป็นสัมมาอาชีวะ การทำให้คนก่อเกิดพลังในตัวเองนั้นก็เป็นเครื่องหนุนนำทางธรรมให้ก้าวหน้า แต่ทางโลกนั้นเราอาจต้องเบียดเบียนตนเองเกินไป งานครั้งนี้เราควรจะได้รับค่าเลี้ยงชีพบ้างตามสมมควร

จากปัญหาของการปิดพื้นที่กลายความเป็นปกติของสังคม สังคมที่บีบบดกระแสเสียงตัวตนภายใน ซึ่งแน่นอนย่อมกระเทือนถึงเยาวชนเช่นกัน โจทย์งานก็เริ่มขึ้น คือการเปิดพื้นที่เหล่านี้ขึ้นเพื่อให้เสียงเล็กๆได้รับการ”ฟัง” อย่างแท้จริง การสร้างคุณค่าในตัวเอง ค้นหาตัวเอง การรักและเคารพตัวเองและสร้างแรงบันดาลใจให้กับตนเองจึงกลายมาเป็นโจทย์สำคัญของกิจกรรมนี้ ไม่เถียงว่าเหล่าผู้จัดเองก็เคยเป็นกลุ่มหนึ่งที่ถูกกระทำจากสังคมเช่นกัน

กระบวนกรรับเชิญเป็นผู้ที่คร่ำหวอดในการเยียวยาเยาวชนเป็นอย่างมาก ซึ่งได้รับการน้อมเชิญของเหล่าผู้จัดอย่างยินดีและเต็มใจ อ.ธนัญธร เปรมใจชื่น (อ.น้อง) นักศิลปะบำบัดที่เชี่ยวชาญในการทำงานร่วมกับเด็กๆมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานเกี่ยวกับเด็กที่ต้องโทษ หรืออยู่ในสถานพินิจ ฉะนั้นเด็กในเมืองซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกิจกรรมนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากแต่ประการใด
การทำงานครั้งนี้เราต้องมีเรื่องราวของ “เงิน” เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างช่วยไม่ได้ เพราะการตั้งเป้าว่าจะต้องมีเงินพอเลี้ยงตัวของเราได้ไม่เข้าเนื้อ ความเครียดจึงเริ่มมีในมวลหมู่ผู้จัดกิจกรรม จากที่เคยไม่ต้องการเงินเป็นการตอบแทนจากกิจกรรมเหล่านี้ “เงิน” ก็จึงกลับกลายมาเป็นประเด็นหลักอันหนึ่งในช่วงก่อนและหลังการทำงาน ความคุ้มทุนอยู่ที่เท่าไหร่? จากที่ตั้งเป้าเอาไว้ 30 คน จำนวนผู้เข้าร่วมจ่ายเต็มจริงแค่ 7 บวกกับที่เป็นผู้มาด้วยการรับทุนอีก 5 รวมเป็น 12 คน แม้ว่าจะช่วยกันหาผู้เข้าร่วมทุกทาง เพียงพอหรือไม่กับการจัด จะเข้าเนื้อหรือไม่ ความเครียดในเรื่องพวกนี้ก็อุบัติขึ้นกลางใจ ความหวั่นไหว ก็เข้ามาเยี่ยมเยือนในหัวใจ หน้าที่ต่อไปเป็นหน้าที่ของกัลยาณมิตร ที่เข้ามาให้กำลังใจ และสนับสนุน กำลังใจเหล่านี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงด้านในให้มีพลัง ทั้งจากกันและกัน ผู้ให้ใช้สถานที่ และครูอาจารย์ที่เข้าใจออกเงินส่วนตัวให้กิจกรรมเหล่านี้ได้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงงานให้ก้าวเดินต่อไป แน่นอนทั้งผู้จัด ครูอาจารย์ และผู้ให้ใช้สถานที่ต่างมีแรงบันดาลใจอย่างเดียวกัน

เมื่อปัญหาของความคุ้มทุนในด้านการเงินถูกแก้ไข พลังจากภายใน เพื่อการสร้างแรงบันดาลใจก็กลับฟื้นคืน ออกเดินหน้าทำงานตามความฝันอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ หน้าที่ต่างๆถูกแบ่งออกไปอย่างมีระบบและค่อนข้างมีประสิทธิภาพเพราะงานทั้งหมดล้วนเลือกจากความสมัครใจ ฉะนั้นงานจึงเดินหน้าด้วยความไว้วางใจจากหัวใจเช่นกัน

เมื่อผู้เข้าร่วมกิจกรรมมาถึง จากการบังคับ ลากจูงมาเพื่อให้เข้าร่วมกิจกรรม อีกทั้งจากการมาสู่สถานที่แห่งใหม่ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยภายในใจจริงมีมาก ท่าทีต่อการเข้าร่วมย่อมเป็นไปในด้านไม่ดีนัก เงียบบ้าง ป่วนบ้าง ลองดี ท้าทาย สาระพัดจึงเกิดขึ้น ไม่เป็นปัญหาสำหรับการเข้าใจและรับฟังของอาจารย์ผู้จัดกิจกรรม เพราะเป็นอย่างนี้เสมอๆ กิจกรรมแรกการแนะนำตัวเองอย่างสนุกๆ เกมเล็กน้อยๆ ก็ค่อยๆทะลุกำแพงของหัวใจของใครหลายคน การยอมรับ ให้โอกาส เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสะเดาะโซ่ตรวญแห่งหัวใจนี้ลงได้

การแสดงออกความเป็นตัวเองผ่านกระดาษหนึ่งแผ่น ที่ไม่ต้องเขียนอะไรให้ยุ่งอยากเพียงแต่แสดงความเป็นตัวเองออกมาให้มากที่สุด พับแล้วรีดให้เรียบ ฉีก ขย้ำ พับแล้วรีบให้เรียบ ฉีก ขย่ำ ฉีก ฉีก ฉีก ฟาดกระดาษกับพื้น แสดงความเป็นตัวตนออกมา เสียงระฆังดังขึ้น...ก้องกังวาน ทุกคนอยู่ในความสงบแล้วยิ้มให้กับตัวเอง วงแห่งความไว้ใจก็เปิดรับผู้เข้าร่วมอีกหลายคน การแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองจากกระดาษที่แทนความหมายของตัวเองก็เริ่มขึ้น พร้อมอ่างน้ำตา เสียงหัวเราะกลบความจริง ใบหน้านิ่งๆแต่แววตากลิ้งกลอกไม่มั่นใจ

กระดาษหน้าเดียว ถูกนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมุดทำมือของตัวเองก็เกิดขึ้น เป็นสมุดที่เอาไว้เขียนความประทับใจ เขียนบันทึกเสียของตัวเองไว้ภายใน เป็นพื้นที่ปลอดภัยของตนเอง เสียงเพลงเบาๆ การแบ่งปันสิ่ง น้ำใจเล็กๆก็แสดงให้เห็น หยิบยื่นให้แก่กัน

ช่วงค่ำ จับคู่พูดคุยเรื่อง”ความฝัน”ของตัวเองเกิดขึ้นจากกิจกรรมง่ายๆ คุณค่าแห่งการรับฟังเกิดขึ้น น้ำตาหยดลงกับพื้นไม่ชัดเจนผ่านแสงเทียนสลัวๆ รวมกันเข้าฟังวิเคราะห์ถึงอุปสรรค์ที่ไม่ก่อให้ความฝันนั้นเกิดขึ้น ล้วนแล้วเป็นการปิดพื้นที่การไม่รับฟังกันทั้งสิ้น การไม่เข้าใจ ไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างถูกต้อง จากผู้เลี้ยงดูที่ไม่กล้าจะอ่อนโยนตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยจวบย่างเข้าสู่วัยรุ่น วันแรกวงสนทนาก็ยาวออกไปกว่าที่ตั้งใจไว้เกือบชั่งโมง

อรุณรุ่ง ไม่มีการบังคับให้ตื่นเพียงบอกเวลาอาหารที่พร้อมกินเริ่มต้นเมื่อไหร่ และบอกเวลาเริ่มร่วมกัน ทุกคนมาตรงเวลา นอนไม่หลับบ้าง อยากกลับบ้านบ้าง ร้องไห้บ้างสำหรับหัวใจดวงเล็กๆ ทุกคนรับผิดชอบตัวเองได้ ไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช เช้านี้สมุดเล่มน้อยใช้เป็นประโยชน์ บทกวีจากหัวใจ อันเกิดจากแรงบันดาลใจของตัวเองเริ่มขึ้น บทแล้วบทเล่า ยังติดกับฉัทลักษณ์จนความงามในจิตใจติดขัด เพราะคลังคำของเจ้ายังน้อยนัก ไม่เป็นไร มีเพียงความชื่นชม

เสียงหัวเราะ กลุ่มก้อนเดียวกันเริ่มเห็นมากขึ้น อาจเพราะเป็นเด็กความไว้วางใจจึงง่าย บ่ายนี้เล่นเรื่องราวของ “สัตว์สี่ทิศ” ดูตัวเองด้วยความสื่อสัตย์ว่าบุคลิกเราเป็นอย่างไร ลักษณะภายในเดียวกันอยู่ด้วยกัน รับรู้ถึงพลังของกันและกัน แม้ว่าการแสดงออกจะต่างกันบ้างบ้างเงียบ บ้างร้อนแรงอย่างทรงพลัง เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลที่จะแยกให้ชัดเจนด้วยการป้อมคำถาม เปิดโอกาสให้เดินไปตามกลุ่มที่ไม่มั่นใจอย่างไม่มีความผิด

ค่ำคืนนี้เราดูภาพยนต์ เรื่อง The Corus ร่วมกัน ภาพยนต์ที่เปี่ยมไปด้วยเนื้อหาแห่งคุณค่าภายในของมนุษย์ และแลกเปลี่ยนแสดงทัศนะต่อเรื่องราวร่วมกัน เป็นการรับฟังอย่างไม่มีการตัดสินผิดถูก เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน และเป็นการเรียนรู้กันและกัน โลกของความคิดถูกเปิดกว้างยิ่งขึ้นไป เป็นการยกระดับ หมุนเกียวความคิดขึ้นไปสูงขึ้นๆ วันนี้วงคุยหลังกิจกรรมยาวออกไปอีกมาก
เช้าวันใหม่ กวีวัจน์ จากหัวใจได้พัฒนาขึ้น ไร้แบบแผนแต่กลั่นออกมาด้วยความสดใหม่ ทรงพลังยิ่งขึ้น นั่นเป็นการพัฒนาศักยภาพและแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง กิจกรรม Paper Marché จากวัสดุที่ดึงดูดใจเรา ก้อนหิน กิ่งไม้ และ เศษขยะ ทั้งหมดถูกนำมาติดต่อกันเป็นงานศิลปะพันเชื่อมกันเข้าด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ไม่มีรูปแบบ เป็นจิตนการล้วนๆ รอยยิ้มกว้างขึ้น ไร้กรอบกฏเกณฑ์ทางความงามแบบวิทยาศาสตร์

บ่ายนี้เราออกไปเที่ยว เล่นน้ำ ร้อยพันรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความอ่อนโยน การดูแลกันและกัน ของทั้งผู้เข้าร่วม และทีมผู้จัด กิจกรรมต่างๆ เล่นกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว คุณค่าในตัวเองของใครหลายคนแสดงออกมาใจ ฝนตกกระหน่ำลงมา ตัดสินใจกลับที่พักอย่างทันที คนละไม้คนละมือ เป็นการร่วมแรงร่วมใจ คนโตดูแลคนเล็ก คนเล็กก็ดูแลคนโต เด็กๆ ผู้จัดเอง คนอื่นๆที่มองเห็นก็ชื่นใจ ความรักจากหัวใจเริ่มเบ่งบานออกไปสู่สังคมรอบกาย

ความเหนื่อยอ่อนของร่างกายจากการเล่นน้ำอย่างสนุก และ ลงแรงช่วยกันขนของกลับที่พักยังคงอยู่ คืนนี้เราจึงให้ของขวัญแก่กัน ความประทับใจที่มีต่อกัน ทั้งน้ำตา รอยยิ้ม อ้อมกอดอุ่นๆ กอดกัน ให้ของขวัญ เป็น”กำลังใจ” ค่ำคืนนี้ ทั้งน้ำตา วงพูดคุยยาวต่อเนื่อง จนล่วงเข้าวันใหม่

เช้านี้กิจกรรมสามฐาน คิด ใจ และกาย กับการพัฒนาการของหัวสมอง ทั้งสามส่วนหลัก คิดเตรียมพร้อมกับสถานการณ์วิกฤติที่อาจจะเกิดจากภัยธรรมชาติ ที่อาจเกิดขึ้นเพราะการปรับและรักษาตัวเองของโลก จะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร หัวใจที่เปิดกว้างขึ้นกว่าเดิม การส่งเสียงออกมาเป็นการบรรเทาและการเปิดหัวใจให้มีความกล้าเล็กๆที่จะพัฒนาต่อไป ฐานกายกับกิจกรรมผจญภัยง่ายๆ ซึ่งเกิดจากความร่วมร่วม และการสำรวจร่างกายเพื่อเพิ่มพลังให้กับเซลต่างๆ การทำบ่อยๆเป็นการจดจำของกล้ามเนื้อ และเซลเช่นกัน สรุปบทเรียนจากประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมเอง เป็นอีกหน้าที่หนึ่งของกระบวนกร

ตกบ่ายระบายสีงาน Paper Mache ที่ทำเอาไว้ จากแม่สีสามสี และ สีขาวอีกหนึ่ง ทั้งผู้เข้าร่วมและผู้จัดก็ได้เรียนรู้ การผสมผสานสิ่งๆต่างๆเพื่อผลงานอย่างหนึ่ง ระหว่างรองานแห้ง เกมเล็กๆที่เน้นฐานกายก็เรียกเสียงหัวเราะและหยาดเหงื่อได้เป็นอย่างดี งานเสร็จแล้ว

ค่ำคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย อาหารเย็นนี้จึงเป็นฝีมือของเด็กๆส่วนหนึ่ง “ไก่ย่าง” ไก่สด เกลือหนึ่งถ้วย และไม้ขีดไฟ เศษฟืน กองไฟ ต้องสร้างขึ้นเอง ไม่มีการแข่งขัน มีแต่การช่วยเหลือกันระหว่างกลุ่ม กลุ่มหนึ่งติดไฟไม่ได้อีกกลุ่มมาช่วย กลุ่มหนึ่งไม่เคยทำอาหารอีกกลุ่มมาช่วยดู สมาชิกในกลุ่มก็หยิบยื่นน้ำเย็นเป็นการตอบแทน “น้ำใจ”

ไก่ตรงหน้ามาจากไก่สี่ตัว ย่างคล้ายๆกัน เค็มมาก เค็มน้อยพอๆกัน ทุกตัวอร่อยเท่ากัน เพราะทุกตัวเป็นฝีมือของตัวเอง เป็นคุณค่าภายในตนเอง การแบ่งปัน ส่วนต่างๆออกไป ให้คนอื่น สุกบ้างไม่สุกบ้าง อิ่มกาย อิ่มใจ

ก่อนลาจากเราให้ของขวัญกันเช่นเดิม เป็นการขอบคุณและขอโทษ สิ่งต่างๆออกมาจากหัวใจ และกล้าหาญ กล้าที่จะบอกความจริงแก่กันตามจริง ไม่ถือโทษโกรธกัน อภัยกันและกัน สร้างคุณค่าย้ำความมีคุณค่าให้กับตัวเองและทุกคน คืนสุดท้าย กลุ่มก้อนเดียวกัน มองดูเวลา อีกสามชั่วโมงอาทิตย์คงจะขึ้น

เช้านี้กวีดีๆมากมายเกิดขึ้น หลายคนหลุดออกจากกรอบที่ถูกครอบงำ ล้วนเป็นบ่งบอกการคร่ำครวญถึงประสบการณ์ดีๆตลอดช่วงเวลาที่เกิดขึ้น จดหมายที่เขียนให้เพื่อนที่แสนดีที่สุดของเราเอง ”ตัวเอง” เด็กน้อยที่สุดอยู่กลางวง พี่โตยืนล้อมรอบเป็นเกลียว เสมือนการเติบโตของช่วงอายุ ความกล้าหาญในการอ่านจดหมายที่จ่าหน้าถึงตัวเองด้วยความรักและความอ่อนโยนในหัวใจ เรียกน้ำตาของทุกคนได้ เป็นการสะเทือนเขาไปถึงข้างในหัวใจของทุกช่วงอายุ ผู้ปกครองบางคนมารับลูกลับก็ได้รับโอกาสให้ส่งเสียง เจ้าของสถานที่ พี่เลี้ยง เสียงของทุกคนล้วนเป็นเสียงที่สำคัญ


สุดท้าย เป็นการมอบของขวัญให้กับอาจารย์ ที่ใกล้วันเกิดท่านเต็มที เป็นการมอบของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่เป็นการมอบให้กับผู้มีพระคุณ คำอวยพร และอ้อมกอดที่กลั่นออกมาจากหัวใจทุกคน

รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน ยังมีรอยยิ้ม น้ำใจที่แสดงออกเพิ่มเติม เรียกได้ว่าเป็นที่ประทับใจของทุกสายตาที่พบเห็น อิ่มแล้วเด็กๆมุ่งหน้าไปที่ห้องครัวกล่าวยกมือไหว้คำขอบคุณให้กับผู้อำนวยความสะดวกของเราทั้งหลาย เจ้าหน้าที่ พนักงาน น้ำตาของพี่ๆเหล่านั้นเจิ่งนอง ด้วยความยินดี มีคุณค่ากับงานที่ทำ

อาจไม่ต้องกล่าวสรุปแต่ประการใดในผลลัพท์ที่เกิดขึ้นต่อตัวเองกับ Youth Inspiration Camp ที่ วังดุม เมาเทน แค็มพ์ ทุกกิจกรรมที่จัดขึ้นจากความเชื่อ “มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ มนุษย์มีคุณค่าในตัวเอง และเชื่อมั่นในกิจกรรมดีๆของเรา” ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา การสร้างคุณค่าให้และเปลี่ยนเป็นแรงแห่งการสร้างแรงบันดาลใจของตนเอง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจาก เพียงการเปิดพื้นของหัวใจที่รับฟังอย่างอิสระให้ทุกคนได้ส่งเสียงของตัวเองออกมา เป็นพลังจากด้านในที่มาแปรเปลี่ยนพลังที่ส่งออกมาให้ถูกต้องตามครรลอง จึงจะสามารถสั่นสะเทือนไปถึงผู้คนรอบกายได้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเรื่อง “เงิน” ยังคงเป็นปัญหาไม่พอเลี้ยงตัวเองได้ในงานแรก แต่สิ่งที่ได้คือแรงแห่งหัวใจที่เกิดขึ้น จากการได้ลงมือทำในสิ่งที่พวกเราเชื่อมั่นได้สำเร็จ และผลลัพท์ของเด็กๆออกมาตรงกับใจหวัง ทุกสิ่งล้วนออกมาจาก “แรงบันดาลใจ”ของเราเอง

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

กลับฟื้น คืนเดิม


วันนี้ได้กลับสู่ความเดิมแท้ของหัวใจเรา การเริ่มต้นของตัวเราที่นี่ โรงเรียนสาธิตจุฬา ฝ่ายประถม กว่า ๑๒ ปีที่เราใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ ประสบการณ์การเรียนรู้ ศาสตร์ต่างๆที่เราได้ร่ำเรียนมาโดยตลอด ทั้งทางตรงและทางอ้อม ประสบการณ์ทั้งหมดที่เราได้รับร็ เป็นเหมือนการหล่อหลอมจากระบบที่เราได้รับมาโดยตลอด แต่ในระบบนั้นก็มีความไร้ระบบ แต่ยังคงความมีระเบียบไว้อยู่

สิ่งต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงไป ทุกวินาทีที่ดำเนินไปนั้นก็เปลี่ยนแปลงร่างกาย เปลี่ยนแปลงสังขาร สิ่งแวดล้อมต่างๆก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่แรงบันดาลใจ จุดมุ่งหมายในชีวิต ที่เราต้องทำ เป็นฝันอันยิ่งใหญ่ของเรานั้นก็ยังคงอยู่ น้อยคนนักที่จะดำรงอยู่อย่างชัดเจน เพราะมีเมฆหมอกควันดำจากภายนอกที่เข้ามาแฝงตัวบดบังความฝันจนเกือบสิ้น การได้สายลมอ่อนโยนมาพัดพาเมฆหมอกที่บังตาอยู่ออกไปให้ความฝันกลับสดใสกระจ่างชัดนั่นก็เป็นเรื่องที่มีคุณค่ายิ่ง การกลับคืนสู่แหล่งต้นกำเนิดของตัวเองนั้นก็ตอบแทบทุกคำถามของชีวิตเรา การสูญเสียความมั่นใจ การไร้ซึ่งแรงพลังที่ขาดหายนั้นก็รังแต่จะฉุดคร่าความหวัง เหนี่ยวรั้งพลังแห่งฝันอันยิ่งใหญ่ในชีวิต โชคดีที่เราเห็นและรู้ต้นกำเนิดของเราว่าอยู่ที่ไหน ฉะนั้นการกลับไปเติมพลังแห่งแรงบันดาลใจนั้นก็ก่อให้เกิดพลังที่กลับลุกโชนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของเราก็เกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งนี้ อาจารย์ของเราท่านหนึ่งเป็นเสมือนผู้ที่เป็นแบบอย่างการวางตัว การให้โอกาส การเกื้อหนุน การชี้ขุมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี เราเรียกได้ว่าเป็นดุจกัลยาณมิตรอันใหญ่ยิ่งของเรา

หลายหลากวิชาที่เราได้เรียนรู้ทั้งทางตรงและจากการสังเกต มันซึมซับเข้าไปในเนื้อในตัวเราอย่างน่าประหลาดใจ จนเมื่อเราอยากจะหยิบขึ้นมาใช้เพียงแค่นึกทบทวนดูเล็กน้อย ก็จะจำหหรือทำได้ อวัยวะบางอย่างของเราที่จนจำการเคลื่อนไหวมานับครั้งไม่ได้ เมื่อห่างเหินไปนานก็ย่อมจะฝืดบางเป็นธรรมดา แต่หากเราลงมือทำแล้ว ความรู้หรือการจดจำได้ของกล้างเนื้อต่างๆ ที่ประกอบกันทั้งประสาทสัมผัสต่างๆก็จะเข้ามาเป็นเนื้อเป็นตัวเราเหมือนเดิม


แน่นอนเรื่องพวกนี้เราล้วนรู้กันดีอยู่ เพราะเป็นเสมือนการจดจำของการรู้สึกตัวในเวลาที่เราปฏิบัติ เมื่อเราทำมากเข้า ทั้งร่างกายและดวงจิดของเรานั้นก็จะจดจำสภาวะต่างๆนั้นเช่นกัน ติดเนื้อติดตัวอยู่อย่างนั้น จนเมื่อถึงเวลาต้องใช้เราก็สามารถนำความรู้เหล่านั้นออกมาใช้ได้ เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากหลายคนที่ได้มีโอกาสนำความรู้เหล่านี้ไปใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น
ฉันใดฉันนั้น ประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั้นก็จะถูกก็บกักเอาไว้ เมื่อถึงคราวจำเป็นเราก็จะสามารถนำความรู้ หรืออาจเรียกว่าประสบการณ์เดิมเหล่านั้นออกมาใช้ได้เช่นกัน

แล้วเราเขียนอะไรเนี๊ยะจากโรงเรียน เป็นเรื่องราวของประสบการณ์เก่าๆเสียอย่างนั้น

วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552

ขอตั้งจิตอฐิษฐาน



เอาใจเข้าช่วยบ้านเมืองเราที
บ้านเมืองกำลังแย่ บ้านเมืองกำลังจะลุกเป็นไฟ
ไม่ต้องออกมาเดินขบวน ไม่ต้องพูดเสียงดัง เพราะอาจไม่มีใครฟัง






เพียงแค่คุณร่วมส่งใจ ความปราถนาดีให้กับทุกคนอย่างแท้จริง
เป็นการเยียวยาตัวเอง และเยียวยาโลก
มาช่วยกัน
ได้ตั้งแต่วินาทีนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่จำเป็นต้องรอ
ไม่จำเป็นต้องคิดมาก
อ่านแล้วทำได้เลย

ส่งใจช่วยทุกคน อธิษฐาน

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

ตัด...ผสม...เข้ากัน



ต้นไม้ยืนต้นออกดอกสีร้อนแรง
บนพื้นดินสีน้ำตาลอ่อน ของดินปนทราย
ตัดกับทุ่งข้าวสีเขียว และท้องฟ้าครามใส


ชีวิตมีสีสันก็สวยงามไปอีกแบบ
ชีวิตขาวดำก็สวยงามไปอีกแบบ
ชอบแบบไหน แบบไหนเข้ากับเราได้ เข้ากับเขาได้


สบายๆ จัดการกับตัวเองอีกหน่อย จัดการกับความยุ่งเหยิงภายใน
ไม่เห็นต้องสนใจข้างนอกให้มาก หากเราไม่เข้าใจด้านในแท้จริง

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

ฝนตกฟ้าสะเทือน

ณ ตอนนี้ ติดฝนอยู่ที่ศาลายา

ฟ้าครึ้ม เมฆดำสนิท ทั่วท้องฟ้า

สายฝนกระหน่ำ ซัดห่าลงมา รุนแรง

ฟ้าก็คงพิโรธ แน่แท้

วันพรุ่งจะมีการทำให้การสิ่งหนึ่ง

จริงหรือที่ฟ้าห้าม มิให้เสร็จสิ้นก่อการ

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2552

ได้คิด...เตรียมตัว

หลายวันที่เราต้องเหงาอยู่คนเดียวที่บ้าน เพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลย แม่กลับไปเชงเม้ง พ่อไปอยู่บ้านย่า เราเพิ่งได้รู้ถึงหัวอกแม่ที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวบ่อยๆ เพราะเราเองก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านกัน แม่จึงต้องอยู่บ้านคนเดียว บ้านที่ไร้ชีวติชีวาของสมาชิกครอบครัวที่หายไป

การอยู่คนเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เราได้กลับมาใคร่ครวญ รู้สึกถึงอารมณ์ส่วนลึกภายใน ความเหงาที่เข้าเกาะกัดภายใน เหตุใดหนอที่ความทุกข์อันนี้มาเกาะกินภายในของเราได้ ความอ่อนแอของจิตใจที่ปล่อยให้ความเหงา และความเศร้าเข้ามาขบแทะหัวใจอันบอบบางในตอนนี้

บ่อยครั้งเหมือนกันที่ความเหงาและความเศร้าก็เข้ามาเป็นเพื่อนของหัวใจ เป็นการกลับมาให้เราได้ย้อนถึงความสุขที่ไม่เที่ยงแท้ ความไม่แน่ไม่นอนของชีวิต ขนาดความสุขที่เราปลาบปลื้มนักหนาก็ยังไม่อยู่ยั้งกับเราเสมอไป กลับมามองดูความสัมพันธ์ในครอบครัวของเราเอง ความสุขที่เราเคยมีจากการอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว มันเป็นเสมือนสายใยที่เชื่อมโยงเกาะเกี่ยวกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มีขาดสมาชิกใครคนใดคนหนึ่งไปก็ทำให้เส้นสายหนึ่งหลุดล่วงไป เป็นเหมือนความไม่เต็มด้านในเมื่อเราอยู่บ้าน กับสมาชิกในครอบครัวของเราที่มีอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้ความเชื่อมโยงนั้นมีไม่มาก และเมื่อมีเส้นสายหายไปจากการขาดไปของสมาชิกเพียงคนหนึ่งก็ทำให้อีกสองคนเกี่ยวแน่นกันยิ่งขึ้น และความอ้างว้างภายในของสองคนก้มากขึ้นด้วย เราจึงต้องเกาะเกี่ยวให้แน่นยิ่งขึ้นเช่นกัน

กลับมามองถึงตอนนี้ที่เราต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครเลยในบ้าน มองไปทางไหนก้ทำให้เรามองเห็น พ่อกับแม่ เคลื่อนไหวอยู่ในที่ที่พ่อกับแม่ชอบอยู่ ตรงเสื่อเห็นพ่อนอนอยู่ ในครัวเราได้ยิงเสียงแม่ทำกับข้าว มองให้ลึกลงไปอีกนี่เป็นเพียงการห่างกันไม่กี่วันเท่านั้น แต่ถ้าเวลาแห่งการจากไกลมาถึงเราจะเป็นอย่างไร



วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2552

โคจร

วันก่อนเรานัดเพื่อนฝูงรับอาจารย์ไปทานข้าวกลางวันกัน
เราทั้งสามคนไม่ได้เจอกันพร้อมหน้านานมากแล้ว เพราะต่างคนก็ต่างมีชีวิตของตัวเอง
เดินตามทางของตัวเองที่ถูกขีดให้เดินบ้าง เลือกเดินเองบ้าง หรือแม้แต่ไม่รู้อะไรแล้วก็เดินๆไปบ้าง

เราสามคนเรียกว่าซี้กัน
หนึ่งคนเป็นลูกอดีตรัฐมนตรี
หนึ่งคนเป็นลูกพ่อค้าใหญ่
หนึ่งคน เป็นลูกข้าราชการธรรมดาๆ
แต่ทั้งสามคนก็เป็นเพื่อนกัน มีครูคนเดียวกัน
เราเจอกันคุยกันเป็นปกติเหมือนเคยแม้ว่าต่างคนก็จะต่างกันออกไป
แต่รู้สึกได้ว่า มิตรภาพก็ยังคงเดิม

การโคจรกลับมาพบกันนั้นเป็นเรื่องไม่ง่าย
การโคจรกลับมาทำอะไรอย่างหนึ่งที่มีความหมายเพื่อใครสักคนก็ยิ่งยากกว่า

เราไปรับอาจารย์พร้อมกันด้วยรถคันเดียว เป็นหนึ่งอันเดียว คือการระลึก และเคารพถึงอาจารย์
เราพบอาจารย์แต่งตัวสวยสมวัยเลยเกษียณของอาจารย์อย่างตั้งใจ พร้อมรอยยิ้มอิ่มบนใบหน้า เราเองชื่นใจ

ระหว่างทานข้าว เราแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ ให้เรารับรู้ รุ่นพี่ รุ่นน้อง เรื่องราวของพวกเรา
มีแต่รอยยิ้ม พร้อมอาหารเต็มโต๊ะ ที่พวกเราช่วยกันสั่ง และพลัดกันตักให้แก่กัน
มองออกไปเป็นสวนสวย หญ้าเขียว ต้นไม้ใหญ่ครึ้มใจ ในกลางเมือง
มีใครเข้ามาทักทาย แม้เราไม่รู้จักแต่จากรอยยิ้ม อาจารย์รู้จัก
แล้วอาจารย์ก็แนะนำว่า...นี่รุ่นพี่พวกเธอ แล้วน่ก้รุ่นน้องพวกเธอ
เป็นเรื่องบังเอิญ รอยยิ้มเบ่งบานออกอีก

ขนมหวานมาแล้ว พวกเรายังคงกินและหัวเราะ
เราก็สนุกกับความคิดเพลินๆ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง พูดบ้างไม่พูดมาก แต่เรารู้สึก...ดี

กลับบ้านพร้อมขมนถุงใหญ่ที่ทุกคนได้เท่ากัน ที่อาจารย์กรุณาเตรียมเอาไว้ให้.... เรานั่งรถกลับมาอย่างเป็นสุข แม้ว่าเราทั้งสามร้อนรนเพราะรถเริ่มติด แต่ความสุขยังอยู่ ไม่เป็นไรมาก

finding My Way

หลายวันก่อนเราได้ไปเยี่ยมอาจารย์ชาวต่างชาติของเราท่านหนึ่ง อาจารย์กำลังจะกลับบ้านหลังจากมีครอบครัว และอยู่เมืองไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี เป็นอาจารย์ชาวต่างชาติที่ทุ่มเม เพื่อการศึกษาไทยเป็นอย่างมาก อาจารย์กล่าวว่าขอทำเพื่อลูกบ้าง เพราะการศึกษาไทยไม่ดีพอ เด็กๆไม่ได้เรียนหนังสือจริงๆ อาจารย์ก็เริ่มท้อนิดว่า ยี่สิบปีที่ผ่านมา สอน”ครู”มาตลอด หลายต่อหลายรุ่น แต่ก็ยังไปพอ
วันนี้อาจารย์ดูเศร้าสร้อยกับการจะต้องจากไป แต่ทุกอย่างก็ลงตัว ไปได้ทั้งหมด เป็นไปด้วยดี เป็นจังหวะวลาที่เหมาะสมแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องไป การเดินทางก็เริ่มขึ้น...
เราหยิบหนังสือที่อาจารย์เอามาแจกๆใครๆที่คิดว่าหนังสือนี้จะเป็นประโชยน์ต่อเขา เราขอเลือกหังสือเล่มเล็กๆมาเล่มหนึ่ง Finding My Way เราชอบอยู่แล้วคำนี้ ยิ่งเปิดอ่านเรายิ่งหลงรัก..เราเลยขอมาเป็นที่ระลึก เรื่องราวมีอยู่ว่า

One beautiful morning, my heart whispers to me “Isn’t it time You learned to journey?”

When I leave the village I am happy and brave. My box lunch feels good on my arm.

Now the sun is higher, I look down at my feet. They are heavier than they used to be.

With my lunch inside me, I feel stillness around and I see two dear friends in the mirror of a pond.

In a dark green forest, the trees watch my walk. They make me ashamed of my won footprints.
When that grove is behind me, the sun warms my hair. All is so quiet, my heart wants to sleep.

In a nearby yard, a boy plays by himself. I think we could talk, but now I’m too afraid.

The sun climbs higher, but not my spirit which is way back to my mother?

Then rain comes quickly and finds me alone drops on my cheeks make friends with my tears.

Children under an umbrella make me laugh. I’m dripping with water, but I’ve turned back home!

When I cross the bridge, my good friends are fishing with no eyes to see why I’m smiling at my house.

Soon I sit warm with my mother Night winds and fireworks Light up my eyes and remind me of traveling.

Petals 1967
“Gentle thoughts to please the heart”

แม่ร้องไห้

วันนี้ฉันออกนอกบ้านด้วยรถโดยสารประจำทาง

มันทำให้ฉันได้มีโอกาสมองสิ่งรอบตัวโดยไม่ต้องสนใจกับพวงมาลัยรถยนต์หรือ มุ่งสมาธิ สติของฉันออกไปยังท้องถนน

ข้ามสะพานแห่งหนึ่ง ฉันมักจะมองออกไปยังสายน้ำในลำคลองนั้นเสมอ

วันนี้ฉันพบว่าลำคลองเต็มไปด้วยฟองขาวเป็นคลื่น ฉาอยู่บริเวณผิมน้ำ พร้อม สิ่งๆแปลกปลอมอื่นๆอีกนับไม่ไหว

วันนี้ฉันได้ยินเสียงสายน้ำร่ำไห้อย่างสุดจะรำพัน เธอไม่สามารถจะรับความทุกข์ของใครๆได้อีกแล้ว

วันนี้ฉันพบว่าแม่ของฉันร้องไห้ อย่างร่ำไห้ เป็นอย่างที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552

ความรัก

"ความรักเป็นพลังที่มีชีวิจในตัวมนุษย์ เป็นพลังที่จะพังกำแพงที่ขวางกั้นมนุษย์ออกจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และรวมมนุษย์เข้ากับเพื่อนของเขา ความรักช่วยให้เพื่อนมนุษย์เอาชนะความร็สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว และความรู้สึกที่ถูกแยกออกจากคนอื่นๆ แต่ก็ยังช่วยให้เขาเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ ในความรักที่มีสองสิ่งขัดแย้งกันแต่เกิดขึ้นพร้อมกัน คือสองสิ่งที่รวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว แต่ก็ยังคงเป็นสอง"


Love is and active power which breaks through the wall which separate man from his fellow men, which unites him with others; love makes him overcome the sense of isolation and separateness, yet permits him to be himself, to retain his integrity. In love the paradox occurs that two beings become one yet remain two.

Erich Fromm

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552

HBD ย่ะ



สุขสันต์วันสืบเนื่อง
 
จากเพื่อนๆ จตปญ.

เพื่อนใหม่

เราเพิ่งได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ ของเราคนหนึ่ง เป็นเสมือนของขวัญชิ้นสำคัญก่อนในวันที่อายุครบ ยี่สิบสี่ปีของเรา
เธอเป็นผู้หญิง "ใหม่"... เราไม่รู้จักเธอมากนัก ความคิดของเรากับประสบการณ์เดิมๆ ก็ทำให้เราไม่รู้ความจริจากเธอว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน อาจเป็นเพียงเพราะมารยาท หรืออะไรเดิมๆที่ยังปิดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของเราอยู่

จวบจนหลายวันที่เราหลายคนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทำกิจกรรมที่น้อยคนนักที่เพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรก เค้าทำกัน ...นั่งหันหน้า คุยกันจนดึกดื่น

ตอนนี้เรานั่งอยู่หน้าเครื่องมือของโลกยุคใหม่ที่เราใช่สื่อสารกัน เราขอให้เธอเราเรื่องราวของเธอให้เรารับรู้ เพราะความสนใจ ความกระตือรือร้นจากหัวใจของเรา

เราพบว่าเธอเป็นคนน่าทึ่งอย่างยิ่ง จากเรื่องราวของเธอ ผ่านหน้าจอ computer ของเรา เรายังจำได้จากประสบการณ์เดิมที่เราเห็นว่าเรื่องราวที่ผ่านจากตัวหนังสือ มันออกมากหัวใจของเธอเช่นกัน

เราปลื้มชีวิตเธอ ด้วยความเคารพจริงๆ "ยัยใหม่"

เกี่ยวกับฉัน

ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา