วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

พอดี

วันนี้ฉันได้เขียนข้อความสั้น ลงใน Fb ว่า

"ไม่ดีพอ ไม่พอดี
พอไม่ดี ดีไม่พอ"

น่าแปลกที่ ภายในเวลาไม่กี่น่าทีมีคนมากด like มากกว่า 8 คน
ฉันเริ่มสสงกะสัย พวกเขาคิดอะไรกันถึงมากด like ให้ข้อความตรงนี้...

คุณเองเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่าเวาลา like หรือชอบใจอะไรบางอย่าง (แม้ไม่ชอบหรือไม่ถูกใจ)
มันเกิดปฏิกริยาอะไรขึ้นภายในจิตใจของเรา? เอะ ตอนนั้นเรารู้สึกอะไร..อะไรเป็นแรงพลักดันให้เราลงมือประทำ

หลายครา เราเองหลงลืมชั่วขณะ หลงลืมที่จะเรียนรู้ชั่วขณะนั้นๆ... และช่างเป็น"ชั่วขณะ"ที่สำคัญกับชีวิตของเราด้วย
บางครั้ง ชั่วขณะหนึ่งเรามีปฏิกริยาโตตอบต่อเหตูการณ์หรือสถานะการณ์นั้นๆโดยทันที..บ่อยครั้งเรารู้สึกว่า..แหมๆถ้าย้อมเวลาได้เราอยากจะย้อนเวลาไป.. แต่ไม่บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่า..ฉันทำได้ดีมาก (แล้วกลับมายิ้มกับตัวเองอยู่ทั้งวัน)

เพียงแค่อยากเสนอ "ชั่วขณะ" ให้กับทุกท่านได้คิดเท่านั้นว่า เราเห็นชั่วขณะหนึ่งๆของเราได้มากน้อยเพียงใด..
เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องเสียใจ...กับสิ่งที่เราได้กระทำลงไปแล้ว

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สัตยาไส: องค์กรณ์แห่งความสุข

บทความนี้ได้ลงหนังสือวารสารของมหิดล เดือน ก.พ. 2554 เลยเอามาลงblong เอาไว้เสียหน่อย

“ความสุขอยู่ที่ไหน?” ลองใคร่ครวญดูสักนิดก่อนที่ท่านผู้อ่านจะตอบคำถามนี้ ในขณะเดียวกันผมขอเล่านิทานเรื่องหนึ่งที่ผมได้ยินได้ฟังมาให้ทุกท่านได้อ่านไปพลาง


“กาลครั้งหนึ่ง...ในค่ำคืนที่เงียบงัน เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินมาพบคุณยายที่กำลังงกๆเงินๆมองหาอะไรสักอย่างอยู่ภายใต้แสงไฟข้างถนน “คุณยายครับกำลังหาอะไรอยู่เหรอ ให้พวกผมช่วยหาไหมครับ?” เด็กคนหนึ่งในกลุ่มเสนอตัวเข้าช่วยด้วยใจอาสา “ขอบใจมากลูก...ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่จ่ะ” ยายตอบสายตายิ้มๆ แล้วก้มหน้าหา เข็มเย็บผ้าต่อไป เด็กทุกคนช่วยกันอย่างขะมักเขม้น เวลาผ่านไปสักครู่ก็หาไม่พบ เด็กคนหนึ่งจึงถามคุยยายว่า” คุณยายครับคุณยายทำเข็มเย็บผ้าตกตรงบริเวณไหนครับ เพราะพวกเราจะได้หากันตรงนั้นไม่ต้องหาไปทั่วอย่างนี้”คุณยายตอบว่า “ยายนั่งเย็บผ้าอยู่ในห้องของยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าตกในห้องของยายนั่นแหละ ที่ยายออกมาหาตรงนี้เพราะว่าตรงนี้มีแสงสว่างมาก ในห้องยายมันไม่สว่าง” เด็กพากันหัวเราะ แล้วบอกคุณยายว่า “คุณยายครับคุณยาย คุณยายทำเข็มตกในห้องของคุณยายคุณยายก็ต้องไปหาในห้องของคุณยายซิครับ หาตรงนี้ไม่เจอหรอกครับ” แล้วเด็กๆก็เดินจากคุณยายไป”

ผมได้ฟังนิทานเรื่องนี้จาก ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนสัตยาไส อาจารย์อาจองได้สรุปให้ความว่า คุณยายคนนี้ก็เหมือนกันพวกเราที่แสวงหาเป้าหมาย หรือความสุขในชีวิตอย่างผิดที่ผิดทาง พวกเราทำความสุขภายในหายไปจากหัวใจ แต่กลับไปหาความสุขจากภายนอก แล้วสิ่งที่เราเจอมันจะใช่สิ่งที่เรากำลังหาอยู่หรือไม่ ในฐานะของผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนโรงเรียนสัตยาไสจึงเป็นโรงเรียนที่มุ่งให้ผู้เรียนกลับมาค้นหาความสุขจากภายในของตันเอง แทนการออกแสวงหาความสุขจากสิ่งภายนอกตัว
ด้วยวัตถุประสงค์ในการตั้งโรงเรียน คือ “สร้างคนดีเหนือสิ่งใด” เป็นเสมือนการปลุกกระแสสังคมจากกระแสสังคมในยุคปัจจุบันที่คนดีเหลือน้อย คน...มีมาก(ท่านผู้อ่านเติมกันเอาเอง) โรงเรียนสัตยาไสจึงเป็นโรงเรียนที่มุ่งสร้างคนดีให้กับสังคมแทนที่จะเป็นการสร้างคนเก่ง เพราะคนเก่งหลายคนก็ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น กับเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองเสียมากกว่า โรงเรียนสัตยาไสจึงมีคำถามประจำใจเด็กๆให้คอยถามตัวเองว่าสิ่งที่ตัวเองจะทำนั้น “ดีต่อตัวเองหรือไม่ และ ดีต่อคนคนอื่นหรือไม่เช่นกัน”


สถานที่ตั้งของโรงเรียนนั้นอยู่ไกลออกจากเมืองใหญ่ ท่ามกลางขุนเขาอันสงบและสายน้ำไหลเย็นในอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ภายในโรงเรียนที่ไม่มีเครื่องเล่นวิจิตรพิศดารอย่างหอคอยประดิษย์ตั้งอยู่สูงตะหง่านมีม้าหมุนพลาสติกสีสวยตัวใหญ่ ชิงช้าโซ่เหล็ก แต่กลับมีต้นไม้ใหญ่ที่ใช้ปีนป่ายเหมือนหอคอยใหญ่หรือบ้านต้นไม้ของทาร์ซาน มีก้านกล้วยและทางมะพร้าวเป็นม้าอาชาไนยตัวเบ่อเร่อ มีเชือกห้อยอยู่กับกิ่งไม้ใหญ่เป็นชิงช้า พื้นที่กว้างใหญ่รายล้อมไปด้วยขุนเขา และสระน้ำกว้างใหญ่เพียงพอสำหรับจิตนาการกว้างไกลสำหรับวัยมัน ห้องเรียนที่กว้างกว่าประตูและกรอบของห้องสี่เหลี่ยมสถานที่อันเงียบสงบนี้จึงเป็นที่บ่มเพาะความรู้ ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้กับผู้อาศัยเพื่อให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ในการดำรงชีวิตในสังคมอย่างเป็นสุข ด้วยบรรยากาศ ของรอยยิ้มระคนความรัก ความเมตตา การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การพึ่งพาตัวเองและใช้ชีวิตบนหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่โรงเรียนแห่งนี้มีกิจกรรมระหว่างนักเรียน คุณครู และผู้ปกครองประจำปีที่ไม่เหมือนโรงเรียนอื่นคือ การทำนา โดยใช้แรงงานผู้บริหาร ครู เจ้าหน้าที่นักเรียนและผู้ปกครอง มีชาวนาเป็นกูรู มีกระบือหรือควายเป็นแรงงานไถ่ ในการปลูกข้าวนักเรียนได้เรียนรู้คุณค่าของอาหารที่ตนบริโภคในแต่ละมื้อ ได้เห็นคุณค่าของชาวนาผู้เป็นผู้รู้ เห็นคุณค่าของเพื่อสัตว์โลก (และรู้ว่าไม่ได้โง่อย่างที่เข้าใจ) ข้าวที่ได้กลายเป็นอาหารให้กับนักเรียนครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน ซึ่งเกือบจะพอสำหรับทั้งปี โรงเรียนสัตยาไสนั้นบริโภคอาหารมังสวิรัติ จึงมีการปลูกพืชผักไว้บริโภคเองส่วนหนึ่ง นับเป็นการลดรายจ่ายเรื่องอาหารการกินได้เป็นอย่างดี และปลอดภัยอย่างยิ่งกับสารเคมีฆ่าแมลงที่ตกค้างอยู่ในพืชผักใบสวยที่ขายทั่วไปกันตามท้องตลาด


โรงเรียนนี้เรียนฟรี โรงเรียนสัตยาไสเป็นโรงเรียนเอกชนที่โอกาสทางการศึกษาฟรีตั้งแต่เริ่มเปิดโรงเรียนเมื่อปี พ.ศ. 2535 มีเพียงค่าใช้จ่ายส่วนของนักเรียนตัวเล็กน้อยที่ผู้ปกครองรับผิดชอบ อีกทั้งยังมีแนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการและการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โรงเรียนยึดหลักคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือคุคุณธรรมทั้ง ๕ ประการ ประกอบด้วย ความรักความเมตตา ความจริง ความสงบ การประพฤติชอบ และ อหิสาคือการไม่เบียดเบียน อันเป็นเสมือนคุณธรรมประจำใจ ของนักเรียนในโรงเรียนสัตยาไส เพื่อให้เป็นคนดีของสังคมสมกับปรัชญาการศึกษาของโรงเรียน


มล.ปิ่น มาลากุล กล่าวไว้ว่า “อยากรู้ว่าตัวครูเป็นฉันใด จงดูได้จากศิษย์ที่สอนมา” ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในระหว่างที่นักเรียนใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียน ผลลัพธ์ปลายทางของการศึกษาที่สำคัญกว่าการได้เกรดดีคะแนนสูงๆ นั้นคือการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในสังคมด้วยการไม่เบียดเบียนกันและกันจึงกลายเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า ครูจึงเป็นบุคคลตัวอย่างที่ส่งผลต่อเด็กนักเรียน ท่านศรี สัตยาไส บาบา นักการศึกษาคนสำคัญของอินเดียกล่าวว่า“ครูมีสามประเภทด้วยกัน หนึ่ง ครูที่สอนความรู้ สอง ครูที่อธิบายสิ่งต่างๆ และ สาม ครูที่สร้างแรงบันดาลใจ” ครูของโรงเรียนสัตยาไสจึงเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนด้วยการกระทำที่ประกอบด้วยความรักและเมตตา การทุ่มเททั้งแรงการแรงใจในการดูแลเอาใจใส่นักเรียน ตลอด24 ชั่วโมง ด้วยเป็นโรงเรียนประจำ และมีกิจวัตรประจำวันตั้งแต่ เช้ามืดจนถึงค่ำคืน ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกความรู้ในเชิงวิชาการให้กับนักเรียนตามความสนใจ และหน้าที่สำคัญยิ่งของครูโรงเรียนสัตยาไสที่แตกต่างไปจากครูอื่นๆคือเป็นผู้ดึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ออกมาจากตัวนักเรียน จากความเชื่อว่าคุณค่าความเป็นมนุษย์หรือคุณความดีนั้นมีอยู่ประจำตัวของทุกคน ครูเป็นเพียงผู้ที่ดึงคุณธรรมเหล่านั้นออกมาจากตัวผู้เรียนให้ประกฏออกมาเป็นพฤติกรรม


“ที่โรงเรียนสัตยาไสทำสมาธิกันวันละเก้าครั้ง” เริ่มตั้งแต่ตอนเช้า และก่อนชั่วโมงเรียนในแต่ละวัน ซึ่งการทำสมาธินั้นเป็นการสร้างความสุขให้กับผู้ที่ฝึกปฏิบัติอย่างอย่างสม่ำเสมอ ผลของงานวิจัยผลว่าสมาธินั้นช่วยเพิ่มความจำให้กับผู้เรียนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อทำสมาธิไปถึงระดับหนึ่งสารเอ็นโดรฟินในร่างกายก็จะหลั่งออกมาเมื่อมีความสุข อีกทั้งการทำสมาธินั้นเป็นหนทางหนึ่งในการเปิดขุมทรัพย์แห่งปัญญาที่แฝงฝังอยู่ให้เผยขึ้นมาบนโลก และการทำสมาธินั้นเป็นการสร้างความสุขให้กับตนเองได้อย่างแท้จริง แทนการออกค้นหาความสุขจากวัตถุสิ่งของ หรือสถานที่ต่างๆภายนอกตัว


โรงเรียนสัตยาไสจึงเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งในหลายโรงเรียนในประเทศไทยที่มุ่งเน้นการจัดการศึกษาเพื่อสร้างคนดีให้กับสังคมไทย ด้วยการความสุขที่แท้จริงภายในจิตใจของมนุษย์ในช่วงที่เป็นหน่อออ่อนของต้นไม้ใหญ่ในอนาคต ด้วยการดูแลเอาใจใส่ดูแลหน่ออ่อนเหล่าดูด้วยความรักความเมมตา รดน้ำพรวนดินให้ความดีงามภายในจิตใจของนักเรียนได้งอกงามและเพื่อแผ่ร่มเงาให้กับพื้นที่และผู้คนในสังคม ท่านผู้อ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ลองสำรวจรอบตัวท่านดูว่า สถานที่ท่านอยู่ ข้าวของมากมายรอบๆตัว บุคคลรอบข้างตัวท่านได้ เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับท่านอย่างแท้จริงหรือไม่ ความสุขที่แท้ของท่านคืออะไร และอะไรเป็นเหตุให้เกิดความสุขนั้น

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาถึง อ. สะเมิง

สะเมิง สบลาน
เช้าวันนี้เราออกเดินทางจากอ.เชียงดาว มายัง อ.สะเมิง ใช้เวลา ประมษร 2 ชั่วโมง เป็น สองชั่วโมงที่ทรมาณเป็นยิ่ง ด้วยนั่งอยู่ท้ายกระบะหลัง หันหน้าออกสวนทางกับการเคลื่อนที่ของรถ เส้นทางคดเคี้ยว อีกทั้งยังขึ้นเขา ภาวนาไม่ได้ช่วยอะไรนัก การพยายามข่มตาหลับเป็นทางออกที่ดีกว่า แต่ ก็คลื่นไส้เกินกว่าจะทนได้ อาหารที่กินไปเมื่อเช้า คือขาหมูร้านอร่อยจากอ.เชียงดาว แทจะสวนทางกลับออกมาจากช่องทางที่เรากลืนกินลงไป
คณะใหญ่ถึงตลาดอ.สะเมิงแล้วเรายังไม่ถึงใช้เวลาอีกสักครู่กับการร็พะอืดพะอม อดทนบรท้ายรถ ลงมาจากรถด้วยอาการหมดสภาพ คลายเสื้อให้รับลมเย็นๆ หายใจเข้าลึกยาว หายใจออกยาว สักสามสี่ครั้งไม่เป็นผล อาการอยากอาเจียนยิ่งทวีขึ้น รีดเดินหาห้องน้ำเพื่อลูบหน้าตาให้คลายความทุกข์ลง ทุกสายตา มองด้วยอาการยิ้มๆ และกรุณา จากอาการทางการที่เกิดขึ้น แต่ล้วนแต่เป็นความรักทั้งสิ้น
คณะใหญ่มาจากสถานีรถไฟด้วยรถรับจ้างสีเหลืองสดใสหลายคัน เกินกว่าครึ่งอัดตัวแน่นอยู่ในร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ สั่งอาหหาร แบบพายุถล่ม รายได้ของร้านอาหารในหนึ่งถึงสองชั่วโมงที่เราอยู่ตรงนี้นี้ อาจเทียบกับค่าอาหารที่ร้านเปิดขายตลอดทั้งวัน แม่ค้าคงเหนื่อยและเวียนหัวกันเป็นธรรมดา ยังคงทานอะไรไม่ได้ แต่น้ำเปล่าก็เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงและปรับสมดุลของร่างกายได้เป็นอย่างดี
เปลี่ยนรถที่ใช้เดินทางเพราะไม่อยากจะเข้าไปอัดอยู่ท้ายรถอีกต่อไป กระสองแถวแบบกระบะ 5 คน เดินทางเข้าสู่ หมู่บ้าน ในดงไม้เบื้องหน้า ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรแต่ก็ต้องไปเรื่อยๆ เพราะเส้นทางเป็นทางชันและลูดรัง สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ และ สายธาร ผมและชุดของพวกเราเริ่มที่จะเปลี่ยนสีออกแดง หัวสั่นหัวคลอน ลุ้นกับเส้นทางอยู่เล็กน้อย เราก็มาถึง....

เชียบงดาว 2

หนาวสะท้านเปล่าหัวใจ หนาวฤทัย อ้างว้าง
ใครบ้างได้ยินเสียง ร้องก้อง ของพี่
กระสับกระส่าย สั่นท้าว
มิอาจข่มตา หลับลง ข้ามคืน

เสียงน้ำไหลดังแว่ว เป็นทำนอง
เสียงหริ่งระงมร้อง ผสานใกล้
ลืมหวือวีดพัด ไอหนาว บาดใจ
น้ำตาตกลงใต้ หมอนหนุน

ณยามเช้าไก่โก่ง คอขัน
อากาศยังหนาว สะท้าน ทรวง
นภาพร่างดาวพราย หมอกบัง
จำลุกขึ้นพิงไฟเอา คลายหนาว

หมอกจางแล้วนะจ๊ะที่รัก ออกเดินไปยังบ่อพักน้ำร้อน
ลงแช่คลายหนาวไม่เว้าวอน จะถอดถอนความหนาวที่ฝังใจ
สบายสบายเวลาไม่กำหนด ชีวีเปลื้องปลดลงไว้
ปล่อยเวลาปล่อยกายใจ ให้กระแสน้ำไหลพัดพา

แต่งตัวออกไปกินข้าวเช้า พร้อมห่อข้าวสำหรับบ่าย
ใบตองรองไว้เมื่อยามสาย ยามบ่ายเจ้าจะเป็นอย่างไร
(ขีเกียจแต่งแล้ว...ดูหดหู่ยังไงไม่รู้...ดูเศ้ราๆชอบกล)

ว่าไปแล้วชีวิตนี่ก็แปลกแล้วนะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวร้ายก็กับดี ดูไปนะ...
หลังจากกินข้าวเช้าร้านอร่อย มังสวิรัตเจ้าเดินคราวนี้เดินทางมากินที่ร้านเลย พร้อมข้าวห่อใบตองอันใหญ่ทีเดียวสำหรับทุกคน วันนี้เราจะต้องไปเที่ยวดอยหลวงเชียงดาว..เขาว่ากันว่า เดินทางขึ้นไปด้วยรถก็เกือบชัวโมง หากหมายใจว่าจะขึ้นถึงยอดอาจต้องใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง ระหว่างเส้นทาง เราได้ไปดูสวนของพี่อ้วนด้วย สวยงามตามไหลเขาเรื่อยๆ สองหนุมนั่งอยู่ท้ายรถ ไม่ได้สนใจว่าเขาคุยอะไรกันด้านหน้า มัวแต่กินข้าวห่อใบตองนั่นแหละ อร่อย แล้วก็หลับไป

ทางขึ้นเขาเลาะไปตามทาง หัวสั่นหัวคลอนกันไปธรรมชาติสวยงาม เส้นทางคดเคี้ยว อากาศเปลี่ยนอีกครา เป็นอย่างไรไม่รู้ สดชื่นเท่านั้น ทั้งทางตา ทางใจ และอากาศที่สัมผัสกาย จอดรถง่ายๆมาฟังเสียงธรรมาติ “ลองเงียบเงียบ แล้วฟังเสียงธรรมชาติเค้าคุยกัน” เราเคยได้ยินกันบ้างหรือไม่ ในเมือง คงจะมีแต่เสียงสังเคราะห์ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ดังระงมเอง

ถึงทางขึ้นดอยหลวงแล้ว เห็นผองเพื่อนชาวเมืองแบกเป้มากมายเตรียมเข้าป่า..แล้วก็สะท้อนใจ บ้างกำลังจะขึ้น บ้างนั่งพักคลายเมื่อย “เอ้าเรามากันแล้ว ทำงานแลกข้าวกันหน่อย” ถุงหลาสติดที่เราใส่ข้าวถุงใหญ่ถูกแจกหั้บพวกเรา งงนิดๆว่าจะได้ทำอะไร “เก็บขยะ” โอ้ว..ในใจยิ้ม เร่งมือช่วยกันเก็บ ชาวเมืองหลายคน คงเฝ้ามอง บ้างได้ยินว่าอยากช่วยแต่ เพื่อนอีกคนก็บอกไม่ต้อง เราก็ทำไป..”ปีที่แล้วผมพาเด็กมาช่วยกันเก็ยได้เกือบ 200 กิโล” อืม... คนหนอคน

เก็บของเสร็จ พี่อ้วนถามความสมัครใจจากพวกเราว่าจะทำอะไรก่อน กิน หรือว่าเดิน แน่นอนส่วนใหญ่เลือกเดิน เพราะว่ายังรู้สึกอิ่มกับขาวเช้าอยู่ ส่วนผมสบายๆอยู่แล้วเพราะสำเร็จทา ข้าวเหนียวหมู น้ำพริกเรียบร้อยมาหนึ่งห่อแล้ว

ออกเดินทางด้วยลำแข้งทั้งสอง พี่อ้วนพาเราไปตามเส้นทางขึ้นดอยหลวง พร้อมกับเปิดห้องเรียนธรรมชาติ ป่า ตนไม้ ใบไม้ต่างๆ นก ชีวิตในป่า... ความเขียวครึ้ม ลมพัดเย็น เส้นทางสวยๆงาม เราไม่ต้องรีบรร้อนเดินไป เดินไปเรื่อยๆ “ช้าลงนิด..เป็นสุขใจ” ระหว่างทาง พบชาวเมืองเพื่อนกัน สื่อสารว่าเมื่อคืน อากาศบบนยอดดอย อยู่ที่ เกือบ 0 องศา

“ขอบคุณค่า....” เสียงตะโกนก้องป่าที่ร้องออกมาจากพี่สาวคนหนึ่งในคณะ เป็นเสียงที่ออกมาจากหัวใจอย่างแท้จริง ความรู้สึกกของคุณธรรมชิต ที่โอบอ้อม เสมือน ผู้เฒ่าที่เฝ้ามองเด็ก ประคองกอดพวกเราอยู่ในที ทุกคนประหลาดใจกับเสียงนี้ แต่มองหน้ากันด้วยความรู้สึก อิ่มเอม..และอยากขอบคุณ พี่สาวคนนี้เสียงจริงๆ ที่เอ่ยคำขอบคุรจากหัวใจนี้ในกับ ผู้เฒ่าที่ยิ่งใหญ่ของเรา

ลงมากินข้าวพักผ่อนกาย พูดคุยกันพอคลายเหนื่อย ขึ้นรถต่อไปอีกเพื่อไปหมู่บ้านหนึ่งบนดอยนั้นเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงชาวดอย ชมยอดภูรูปทรงแปลกตา ภาพ พาโนราม่า ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา มีแต่ธรรมชาติ แบบบริสุทธิ์ อากาศเย็นสบาย ที่พักสวยงาม มานั่งมานอนเอกเขนกกันให้สบาย เรานั่งพูดคุย ราวกับไม่ได้เจอกันมานาน บ้างก็ปลีกตัวไปนั่งสบายๆกินบรรยากาศให้อิ่มหนำ

ร่ำลาเพื่อนพี่อ้วนที่อยากจะใช้ชื่อ นิคม เหมือนกัน ด้วยความอยากกินขนมปัง โฮลวีท อร่อยๆ พี่อ้วนก็กราพาเราไปที่ร้านเพื่อรับขนมปังอร่อยๆ ที่เพิ่งเสร็จใหม่ๆจากเตา อร่อยๆจริงๆ เราแวะเข้าไปที่บ้านพักของพี่อ้วน ซากปรักหักพัง ของสิ่งก่อสร้างเต็มไปหมด คล้ายกับว่าเป็นโบราณสถานสักแห่ง

เย็นนี้เรากินข้าวกันตามสบายๆ อิ่มหนำ เคล้าไอมิตรภาพที่อบอวล...คืนนี้เราจะต้องลาแล้วเชียงดาว แน่นอนไม่พราด เราเตรียมตัวนอนดีกว่าเมื่อวันวาน...

เชียงดาว สาวหนุ่ม

เดินทางสู่ขนส่งฯแบบกระชั้นชิด หัวใจยังรีบร้อน ความคิดฟุ้งฟุ้ง
รถก็ติดตลอดสาย หมายมุ่ง จะถึงก่อนใกล้ทุ่ม...ไหมหนอ?

ออกจากบ้านมาช้าๆ ไม่รีบร้อนเพราะคิดว่ารถไม่น่ะติด..แต่ที่ไหนได้...ยาวเลยเช่นกัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผองเพื่อนร่วมเดินทางก็ถึงที่จุดนัดกันแล้ว ใจก็เร่งไปให้โดยไว เพราะลึกๆก็กลัวตกรถ

ถึงแล้ว เวลายังเหลือนิดหน่อยก็ดูงงๆว่าทำไมต้องวุ่นวายใจขนาดนั้น สมาชิกมาเกือบครบ ขาดไปก็เพียงแต่ “หัวหน้าคณะ...” ไม่เป็นไร เดี๋ยวจอดรับกลางทางได้ไม่มีปัญหา นั่งมาบนรถ จิตใจไม่เป็นสุข เพราะหวังว่าจะได้เห็นหน้า “ครูกุ๊ก” สักหน่อยพอให้นอนฝันดี ป่าวดูไม่ได้!

รังสิต..สถานที่นัดหมาย หัวหน้าก็ยังไม่มา... กะว่าคนขับเขาคงไม่รอ เลยต้องไปยืนดัก อาจเป็นเพราะใจ ประวิงไปก่อน หัวหน้ามาแล้ว ออกเดินทาง...

นครสวรรค์ จุดแวะพักกลางทาง บัตรโดยสารสามารถแลกอาหารได้....ค่อยคลายความหิว ที่มาจากความอยากของปากที่ต้องการขยับเล็กน้อย...

ถนนคดเคี้ยวไปมา แกว่งโยนไปตรามหลุมตามบ่อของถนนที่ไม่เรียบนัก ทางขึ้นเขา ลงห้วยอย่างไร ไม่รู้เพราะหลับแบบหัวสั่นหัวคลอน
ตีสี่กว่า ถึงตัวจังหวัดเชียงใหญ่ เห็นผู้คนที่อยู่ที่ขนส่งสวมเสื้อกันหนาว...”เชียงดาว “อาจต้องหนาวกว่านี้แน่! ใจคิด ตีห้ากว่า ถึงเชียงดาวแล้ว หมอกลงหนา อากาศก็เย็นได้ใจจนต้องค้นเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่

ขึ้นรถสองแถวจากจุดที่ลงไปตลาด... ตลาดไม่ใหญ่นัก พวกเรา ๕ คนเลือกนั่งที่ร้านกาแฟ-ไข่ลวก ร้านหนึ่ง ในตลาด วางข้าวของที่เยอะแยะอย่างกับจะมาอยู่สักเดือนไว้ที่นี่ก่อน สั่งเครื่องดื่ม แล้วออกเดิน...หาอะไรมาเป็นเชื้อพลังให้กับร่างกาย

“รู้จัก พี่อ้วน มั๊ย ครับ?” เป็นคำถามยอดฮิต ติดดาวของหัวหน้าคระ และลูกทีม ที่เหมือนกันรอลุ้นคำตอบและ check เรต ไปในคราเดียวกัน ...”อ๋อ พี่อ้วน นิคม” เป็นเสียงตอบจากบรรดาพ่อค้าแม่ขาย ชาวบ้าน ร้านตลาด อ. เชียงดาวเป็นอย่างดี

เจ็ดโมงแล้ว หมอกยังหนาอยู่ เทอร์โมมิเตอร์ในรถ4*4 คันงามของ อ้ายแดง บอกไว้ว่า 15 องศา แน่นอน หกีวิต ยินดีอัดกันอยู่ในตัวรถไม่มีใครออกไปนั่งที่กระบะท้าย

รถแล่นไปไม่ช้านัก แต่ด้วยความระมัดระวังของผู้ขับที่ชำนาญทาง ผ่านหมู่บ้าน ร้านตลาด ตรอกซอย วัด โรงเรียน ข้ามแยก... เราสังเกตเห็นป้ายลางๆ ท่ามกลางสายหมอก “สถานที่กางเต็นท์ค่ายเยาวชนอนุรักษ์ดอยหลวง” ในใจก็ยังคงคิดว่าจะเป็นประการใดกันหนอ

หมอกจางหรือควันไฟ ใครบอกได้วานตอบที
มองเห็นอยู่ในที ฤาจะต้องพิสูจน์กัน
สูดไอแล้วฉ่ำชื่น หรือขมขื่นเมินหน้าหัน
จะเป็นสิ่งใดนั้น คงต้องตอบด้วยตนเอง


ทางเป็นทางขึ้นเขาน้อยๆ ผ่านสวนมะม่วง ลิ้นจี่ ลำไย รถเลี้ยวซ้ายผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเข้ามา หมูตัวสีดำ กับลูกๆที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเป็นอิสระ ควายฝูงใหญ่ ลำธาธน้ำใส ไหลเย็น ถนนคอนกรีตสิ้นสุดลงที่หมู่บ้านของชาวเขานั้น ดินลูกรังที่ค่อนข้างเรียบ อาจบ่งบอกอะไรเราบางอย่าง หายใจไม่กี่ครั้งก็ถึงที่หมาย

หมอกยังคงอยู่ อ้ายแดงส่งเราเรียบร้อย ความกระตือรือร้นอยากเที่ยวของพวกเรายังท่วมท้น หัวเริ่มวางแผนว่าจะไปนู้นนี่อยู่ กะว่าเอาให้คุ้ม.. อ้ายแดงบอกกับเราว่า ให้พักให้สบายก่อน สามารถเดินไปแช่น้ำร้อนได้ ไม่ไกลนักจากที่นี่ หมอกเริ่มจางคลาย ยอดดอยหลวงสูงตระหง่านต้องแสงแดดสีทอง ผสานแนวป่าเต็มด้วยแมกไม้นานาพรรณด้านล่าง อาคารห้องประชุม และสนามหญ้า เรียงกันลงมาจากท้องฟ้าสีขาวจนถึงปลายเท้าของเจ้าของสายตา ภาพตรงหน้าชวนให้มองอย่างพิเคราะห์ถึงความกลมกลืนกันไป สายตาก็คงจ้องมองแต่ยอดเขาสูงใหญ่

ดอยหลวงสูงเด่นตั้ง ตระหง่าน
แซมหมอกขาวดุจ เมฆจาง เพื่อนพ้อง
แสงทองส่องสาด ขุนเขา พนาไพร
รับด้วยอาคารหลังใหญ่ เสียงน้ำไหลริน

เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยออกตามรอย ท่านประธานไปยังบ่อน้ำร้อน ด้วยไมตรีของคุณลุงสุวรรณขับรถไปส่งถึงที่ พบท่านประธาน พร้อมด้วย เจ้าบ้านกำลังนอนแช่น้ำอย่างเป็นสุข เปลี่ยนชุดท้าอากาศเสียหน่อยแล้วค่อยๆหย่อนกายลงในบ่อน้ำนั้น.... ลำธารไหลรินเป็นฉากสวยอยู่ตรงหน้า กลิ่นกำมะถันที่ออกมาพร้อมควันลอยคุ้งอยู่อ่อนๆ “อาบน้ำร้อนแล้วต้องแช่น้ำเย็นในลำธาร” ปลายผิวเหมือนถูกเข็มทิ่มทุกรูขุมขน กลับมารับประทานอาหารมังสวิรัตอร่อยๆจากร้านอาหารหรู “ลองพิสูจน์”

ช่วงสายนี้ เจ้าบ้านของเรามีประชุมชาวบ้าน ใจจริงอยากร่วมฟังด้วย แต่ด้วยความอ่อนล้าจากการนั่งรถ พวกเราเลยของีบหลับบนกองผ้าห่มหนาอย่างเป็นสุขแทน

ตื่นขึ้นมาเกือบบ่ายอากศยังเย็นไปนิดสำหรับคนท้ายน้ำอย่างเราๆ รับประทานอาหารแบบเมืองๆ อย่างอร่อย มีผักสดเคียงหลากหลายอย่าง อากาศดี อาหารอร่อยมีประโยชน์ ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว

จักรยานคันเก่งของ น้องโอม และน้องออม สองชายตัวกระปุ๊กลุกสายเลือดพี่อ้วนโดยตรง ถูกสองน้าหนู และน้าภูมิหยิบยืมมาปั่นชมรอบๆ ที่พัก ตลอดเส้นทางเป็นทางลงเขาแทบจะไม่ต้องออกแรงปั่น เพียงประคองให้เจ้าสองล้อ ไหลลงมาตามทางเท่านั้น ลมเย็นกระทบหน้า อากาศพิสุทธิ์ไหลเข้าปอดเต็มๆ สองฟากถนนเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ โยกซ้าย ขวา ไปตามทาง ไม่นานก็ถึงตลาด ในใจก็คิดว่า ขากลับคงไม่ปั่นแล้ว จอดรอที่ตลาดดีกว่า

เพื่อนร่วมทีมมากันอีกสองคน เดินทางมาไกล ด้วยรถบัสสีแดง... กระเป๋าใบใหญ่ยังกองอยู่ที่พื้น หนึ่งนั้นกังลิ้มรสไอศกรีมอย่างเอร็ด ด้วยเหตุผลว่า อาจไม่ได้กินอีกหลายวัน... อ้ายแดงมาเช่นเคย โชคดีที่ไม่ต้องขี่จักยานกลับที่พัก

หลังจากที่ทุกคนถึงที่พัก หย่อย ใจเสียนิดหน่อย เราทั้งเจ็ด พร้อมมัคุเทศน้อยทั้งสอง ก็เดินทางไปเที่ยวชมความงามของอ.เชียงดาว หมู่บ้าน ปางแดง ที่รู้สึกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าที่จะเป็นหมู่บ้านของพี่น้องชาวเขา ได้ผ้าทอมือมาคนละผืนสองผืน เดินทางไปเที่ยวถ้ำเชียงดาว เสียแต่ว่ามาช้าไปหน่อย จึงไม่สามารถเข้าไปชมความงามในถ้ำได้ แล้ววกรถกลับมาที่พัก ร่ำอาหารเอร็ด ก่อไฟพิงให้กายอุ่น วงพูดคุยก็เริ่มต้น...เหนื่อยแล้ว แยกย้ายกันไปนอน

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #8

<เช้าวันรุ่งขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ ก็ไม่รู้ว่าจะรีบกันทำไม เพื่อนคนหนึ่งแหกขี้ตาเพื่อจะออกจากที่พักตั้งแต่ ตีห้าสิบห้า บอกว่าอยากมีเวลาทำนู้นทำนี่ เห็นได้ชัดว่าอยาก Manage เรื่องต่างๆ แฮ่ะ อาทิตย์หนึ่งอาการก็ออก เออเราเองก็ได้ดูใจตัวเองไปว่าเป็นอย่างไร บอกก็แล้ว ก็ขี้เกียจเถียง ว่าไม่ต้องรีบ เพราะไม่รู้จะรียทำไม?? ก็ตามใจ ถึงโรงอาหารเราเองก็เป็นคนถูกตำหนิเพราะว่าแม่ครัวบอกว่า “ไหนจะออกหกโมง แล้วทำไมรีบมากันจัง” น่านกู แต่ก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว โอเคๆ บอกแม่ครัวว่า “ออกหกโมงจริงครับ ทำทันอยู่แล้ว” ซึ่งก็กว่าจะได้ออกกันจริงจังก็หกโมง สิบนาทีเข้าไปนั่น ไหนจะวกรถไปเติมน้ำมัน ไหนจะ แวะซื้อของนู้นนี้กันอีก ก็ไม่รู้จะรียทำไม หรือว่าเป็นนิสัยของคนชาตินั้นกันแน่หว่า เอ..มันเป็นเพราะอะไร ??

ก่อนจะออกคุณอาของเราเองก็มาเยี่ยมชมโรงเรียน วันนี้เป็นคณะพิเศษเรียกว่าพิเศษจริงๆ เพราะเส้นมาก เออ มาอยู่ไม่เท่าไหร่ก็มีเส้นมีสายแล้วเรา ได้เจอกันแว๊บเดียว ไม่ได้ตั้งใจจะมาเยี่ยมเราหรอกพอดีจะเข้ากรุงเทพอยู่แล้ว ก็เลยถือว่าเป็นทางผ่านเลยแวะมาเอาไห้คุ้มหน่อย เออ ก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ แต่ตัวเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่ต้องไปขอร้อง กับความตั้งใจที่ดูเหมือนไม่จริงจังอย่างนี้
วันเสาร์ ณ อยุธยา ก็อย่างที่เรียนให้ทราบว่าไม่รู้จะรีบออกจากที่พักกันทำไม ขับรถเรื่อยเปื่อยกว่าจะถึงก็แปดโมงกว่าแล้ว มีฝนพรำๆบ้างประปราย แต่ไม่มากนัก พเย็นๆให้ครึ้มใจระหว่างทาง ถึงวัดพนัญเชิงเป็นสถานที่แรก เข้าไปกราบหลวงพ่อ เพื่อนๆต่างตื่นตาตื่นใจกันพอสมควร ยิ่งสนุกเมื่อได้ลองเสี่ยงเซียมซี เออแปลกดี เห็นแขกเสี่ยงเสียมซีก็ตลกดี เขย่าอยู๋นานไม่เห็นลาวง ก็หันมาทำหัวด๊อกแด๊ก อ่าวแม่คุณเอ๊ย เล่นตั้งฉากขนาดกับพื้นโลกอย่างนั้น จะล่วงลงมาได้อย่างไรกัน?? วัดนี้ก็แปลกเซียมซีไม่มีภาษาอังกฤษก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ที่พาไปอีกหล่ะครับ พอเดาออกนะครับว่าอย่างไร เป็นกลอน ก็ต้องถอดความกันอีก สนุกพิลึก

จากนั้นลงเรือล่องลำน้ำเจ้าพระยา ไปจุดเชื่อมต่อกับแม่น้ำลพบุรี สนุกดี คนเรือพาไปดูช้าง ตกอกตกใจว่าเห็นช้างทำไมนอนนิ่ง แล้วก็มีรถไถนาขันหนึ่งจอดอยู่อีตอนแรกก็นึกว่าช้างจะตายเตรียมจะฝัง แต่ขวาญก็บอกว่าฝึกเอาไว้ถ่ายหนัง และแล้วตามไสตล์ช้างไทย ก็อนุเคราะห์ลงเล่นน้ำให้คนดู เรี่ยรายกันคนละ ยี่สิบ สามสิบ ให้ช.ช้างไป ไม่รู้ตกถึงช.ช้างหรือเปล่า? ทอมก็สนุกมาก ไม่กลัว เห็นช้างยืน ช้างเล่นน้ำ ยังไม่ครบชุดเพราะว่ายังไม่เห็นช้างอึ...



ล่องเรือมาหารักสักที....จนหรือมีก็ตามแต่... ไม่เกี่ยวอะไร ไปวัดท่าการ้อง เพิ่งสร้างตลาดน้ำใหม่ขึ้นมา เรียกว่าใหม่มาก ไม่มีการพายเรือมาขาย ขนของลงเรือเท่านั้นเรือก็จอดเอาไว้ที่ท่าน้ำวัดนั่นแหละ ซื้อข้าวของกันสนุก อันนี้ดีอย่างราคาพอๆกันไม่มีถูกแพงกว่ากันนัก ป้ายราคาพร้อมสรรพ แต่บรรยากาศจัดฉากมากไปหน่อย ถ้ามีโอกาสไปอยากให้ลองไปเข้าห้องน้ำที่นี่ดูเพราะว่าสะอาดเหลือหลาย สะอาดจริงๆ เรียกได้ว่านอนกลิ้งได้เลยทีเดียวเชียว


ร่องเรือผ่านวัดชัยวัฒนาราม ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นวัง ไม่เคยเห็นวัดชัยวัฒนารามมุมนี้มาก่อน สวยมาก จริงๆ ตกเย็น มองจากอีกฝั่งคงจะยิ่งสวยมากๆ ล่องเรือต่อกลับวัดพนัญเชิง คนเรือที่นี่ดี ให้ลองขับเรือเองได้ เราถึงเรื่องล่องน้ำก็บอกว่าเป็นอย่างไร ก็ได้ความรู้เล็กๆเรื่องการดูร่องน้ำ

เริ่มรู้สึกร้อนและเหนื่อยกันพอตัว เราก็เร่งไปต่อกันที่วัดหน้าพระเมรุ กราบพระประธาน วัดนี้ก็มีประวัติยาวนาน ขอบคุรวิชาประวัติสาสตร์ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ก็พอจะถูไถ กล่าวให้เพื่อนฟังพอไหว มั่วบ้าง จริงเยอะหน่อยก็เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี เข้าไปกราบกระขาวหลังโบสถ์ ก็ตื่นตากันมากคือการ เสี่ยงทายยกช้าง เราเองก็เริ่มก่อนเลย แล้วทุกคนก็หันมา “ Hey, What’s this?”งงสิครับอธิบายไม่ถูกคน ภาษาดีหน่อยก็รู้เรื่อง คนที่ภาษาไม่ดีก็งง (๕๕๕ไม่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษนะครับ ภาษามือและ ความฉลาดด้านการเดา) จากวัดนี่หลายคนเริ่มบ่นอุบ ว่า”Where are we going?” .”Temple” มากเข้าก็เริ่มเบื่อ บ้างหิว และหงุดหงิด นึกว่าจะหาที่ให้ทานอาหาร ไอ้เราก็เห็นว่ากินกันมาแล้ว ที่ตลาดน้ำ เอ้า! หิวก็หยิบกินได้เลย เราเองก็เรียบร้อยตั้งแต่อยู่ในเรือแล้ว๕๕ ก็แวะร้านโอเลี้ยง ให้นั่งทานข้าวกันหน่อย ก็เป็นสนุกมากเพราะสั่งโอเลี้ยงไม่รู้เรื่อง เราเองก็ไม่ช่วย เพียงแค่บอกว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไร ต้องช่วยตัวเองบ้างสิ (จริงๆคือก็เหนื่อยและก็เยื่อแล้วที่ต้องดูแลทุกเรื่อง)

เบื่อกันมากเปลี่ยนแผนไปเที่ยว วัดดอกบัว กัน วัดนี้เค้าดีมีแอร์ ของขายเยอะแยะ บ้างซื้อกล้องถ่ายรูป ช๊อบปิ้งนู้นนี่ตามประสา ให้เวลาชั่วโมงครึ่งกันทีเดียว เราเองก็เมื่อยและง่วงเลยหนีไปนอนให้เค้านวดเท้าให้ สบายไป อ่อวัดที่ว่า คือ วัด tesco Lotus
จากนั้นมุ่งตรงไปวัด ซึ่งเป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่เป็นรูปแบบของโบสถ์ สวยงามมาก เป็นคนไทยบางคนยังไม่เคยมาเลย ต้องข้างน้ำไปด้วยเพราะวัดตุ่งอยู่บนเกาะเลยทีเดียว สวยจริงๆ บางทีก็นึกรักศิลปะตะวันตกเข้าจับจิตเหมือนกัน พอดีไปก็เริ่มจะเย็นเห็นหลวงพ่อ หลวงพ่อทำวัตรกันอยู่ก็เป็นโอกาสดี เลยระลึกคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปด้วยเลย จากนั้นมานั่งเล่นกันที่ท่าน้ำ เพื่อนซึ่งเป็นชาวฮินดูก็สวดสรรเสริญองค์เทพกันบ้าง อืมได้บรรยากาศดีแท้
a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqDne_jCmK2CxAw42BEMkguVUbSApNOyNDD79cjrOMMla4swF-EiYXCOqoqgJhyphenhyphenk1U_yui240b9P7jGiHs-nYX_nAdddlqFWs-cwKl_TEXLkRt2cMMW3PAb4celfjYKMu3CsHiOylcKnM/s1600-h/Photo-0008.jpg">






กลับมาเรื่อยๆ รถอีกคันพาแวะกินพิซซ่าที่ โลตัส ส่วนรถเราคนแก่เยอะเป็นส่วนมากก็เอาว่าจะเดินทางกลับก็เห็นใจคนสาวที่อยากกินพิซซ่าอยู่กลายๆ ก็เริ่มสงสัยว่า ทำไมเค้าไม่เห็นเห็นใจกันบ้างเลยหว่า เด็กๆยังเออออ เวลาห้าๆอยากไปนู้นนี่ ที่จะพาเด็กไปส่งเพื่อให้เด็กมีความสุขเล็กบ้าง ก็ไม่เห็นค่อยจะยอม เออเรื่องนี้ก็นั่งคิดอยู่นานว่าเปน้เพราะอะไรกันแน่? เป็นเพราะเราไม่เข้าใจความเป็นชนชาติของเขา หรือเป็นเพราะตัวเอง ที่ให้ค่าตีความ...เหอะๆๆ

จนแล้วจนรอดก็มาแวะกินขนมกลางทาง ข้าวใครข้าวมัน เออเราเหลือบไปเห็นรถเปิดไฟอยู่เพราะเด็กน้อยนอนแล้ว ต้องมีคนดูแล เสร็จแล้วทุกคนขึ้นรถ ถูกครับสตาทร์ไม่ติด เป็นเรื่องสนุกของทุกคนที่จะช่วยกันเข็น ก็เห็นอีกหล่ะครับว่าใครเป็นอย่างไร แหมจริงเลย บ้างก็กลัวยุงกัดเอาผ้าห่อตัวแล้วนั่งอยู่ในรถไม่ช่วยเข็น บอกอีกแหนะว่าน้ำหนักอีฉันไม่มากเท่าไหร่หรอก ขอนั่งบนรถแล้วกัน บ้างก็ลงมาช่วย โอเค้ บ้างก็อยากให้ตามหาช่าง ให้โทรบอกคนน็นคนนี้มาให้ช่วย เห็นถึงความตื่นกลัวของทุกคน ร่วมทั้งตัวเอง เพราะรู้สึกเล็กว่าเป็นหน้าที่เจ้าบ้านของเราที่จะดูแล อำนวยความสะดวก ทั้งๆที่ไม่ได้มีใครบอกให้ทำ กลับมาดูตัวเองก็เห็นความกลัวเล็กๆ ไม่ได้กลัวลำบากแต่กลัวคนอื่นๆจะลำบากมากกว่า ดูไม่ค่อยสบายกัน เลย แต่พอมีแรงใจจากสายตาทั้งที่ไม่ได้พูดกันก็คลายความกังวลลงไปได้เยอะพอควรเลยทีเดียวกับการเข้าใจสถานการณ์อย่างนี้

จนแล้วจดรอดก็รอกว่าครึ่งชั่วโมง รถอีกคันจึงจามมาเปลี่ยนแบ็ต กันซะก็เดินทางถึงที่หมายแม้ว่าจะไม่สามารถใช้แอร์ได้ก็มีความสุขดี เราเองก็นั่งคุยเป็นเพื่อนพี่คนขับมาเรื่อย ถึงโรงเรียนก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #7

เช้าวันศุกร์ วันนี้มีแขกมาแต่เช้าเช่นเคย วันนี้เราไปไม่สายเหมือนเมื่อวานเพราะรู้สึกได้พักค่อนข้างเยอะ แขกมาเยอะ มีแขกคุยกับเด็กระหว่างอาจารย์เล่านิทาน ก็ทำให้หงุดหงิดใจเช่นกัน เห็นความไม่ประสงค์ดที่จะทำให้การขัดจังหวะเล่านี้เกิดขึ้น ความควรไม่ควรก็เข้ามาครอบงำตัวเอง มีช่วงที่แอบหลับด้วยเช่นเดียวกัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเยื่อเข้าไปทุกทีๆ แม้ว่านิทานจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจก็ตาม หากลองฟังดีๆก็จะเห็นสำนวนภาษาน่ารักๆจากอาจารย์ได้เช่นกัน เช่น ราชสีห์เป็นกษัตริย์แห่งป่า

ช่วงเข้าแถวก็เกิดความสนุกขึ้นมาถ่ายรูปและวิดิโอด้วยโทรศัพท์พื่อเอาไว้ประกอบอะไรบางอย่างของตัวเอง ก็สนุกดี เห็นอะไรหลายต่อหลายมุมดี ความรู้สึกที่อยากจะมีกล้องถ่ายรูปติดตัวมก็เกิดขึ้นอีกเยอะเช่นกัน คิดไปเรื่อย ถ้ามีนะ จะอย่างนู้นอย่างนี้เป็นจิตนาการ ที่ทำให้ทุกข์เสียเหลือเกิน ตัณหาความทะยานอยากนี่เขาไม่เคยปราณีจริงๆ ได้รับมอบหมายให้เป็นล่ามกิตตมาศักดิ์อีดเช่นเคย ความนี้แปลไม่ดีเท่าเมื่อวาน เพราะจะมีคนข้างๆมาร่วมแปลด้วยยิ่งทำให้ความมั่นใจไขว้เขวไปเสีย ต้องรอฟังว่าเข้าพูดอะไร อย่างไร จะเอาความคิดชุดภาษา ลำดับการร้อยเรียงของตัวเองมาใช้ก็ไม่ทันไปเสียสิ้น จึงไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไหร่ มีเรื่องอย่างะเล่าให้ฟังดังนี้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งท่านได้ถามนักเรียนที่โรงเรียนว่า “ครูเห็นนักเรียนตอบคำถามมามีแต่ข้อดีๆแล้วม่ทราบว่ามีข้ออะไรที่ไม่ดีหรือไม่ ช่วยหยิบยกข้อไม่มีมาบอกให้ฟังหน่อย” นักเรียนอึกอึก แล้วมีนักเรียนคนหนึ่งตอบว่า” เรื่องมองว่าดีไม่ดีนี่ก็เกิดกับแต่ละบุคคล โรงเรียนสอนให้เรามองด้านที่ดี ไม่เปิดช่องด้านที่ไม่ดีเอาไว้ เป็นเหมือนสองประตู เราก็เลือกเปิดเฉพาะประตูด้านดีเท่านั้นครับ ผมก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร” เสียงปรบมือดังขึ้น ครูท่านนั้นก็รีบสวนว่า “ถ้านี่เป็นข้อสอบ และครูเป็นผู้ออกข้อสอบ ตอบอย่างนี้ตก เพราะว่าไม่ตรงคำถามนะคะ” เราเองก็เห็นความกลัวของคนถามเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนความกลัวของคนตอบย่อมมีแต่ทำได้ดีควบคุมได้ แต่คนถามไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ต้องหลุดวาจาอย่างนี้ออกมาเพื่อประโลมตัวเองให้อยู่ในภาวะปกติไม่ได้รู้สึกว่าถูกทำร้ายตัวตนข้างในของตัวเอง..
เรามีเวลาว่างอีกนิดหน่อย ก็ทำงานกุ๊กกิ๊กของตัวเองไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาทานอาหารกลางวันก็รับประทานอาหารสบายๆ แต่ทว่าก็มีกลุ่มบุคคลเข้ามาสอบถาม เรื่องราวของโรงเรียนโดยที่นึกว่าตัวข้าเจ้าเป็นคุณครูเสียอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่ถอว่าเป็นเรื่องแปลก กว่าจะรู้ก็ตอนท้ายสุดของการสนทนาแล้ว เราเองก็สำรวจตัวเองอยู่เช่นกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนเรียกตัวเราว่าเป็นคุณครูโรงเรียนสัตยาไส รู้สึกได้ว่าใจมันพองเล็ก ยอมรับหน่อยว่าใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดมีความประหม่าอายเล็กเกิดขึ้นกลางใจเช่นกัน

ช่วงบ่ายขณะนั่งทำงานอยู่ที่ห้องพักของอาจารย์ คุณครูเลขาฯต้องออกไปทำธุระนอกโรงเรียนในตัวจังหวัดจึงไม่มีใครสอนนักเรียนแทนเพราะว่ามีสอนหรือติดงานกันแทบทั้งหมด ฉะนั้นเราจึงอาสาสอนแทนเสียเลย ก็เลยต้องรีบฟื้นความรู้เสียหน่อย Question Words กับนักเรียน ม.๑ ตอนแรกนึกว่าใจให้ทำกิจกรรมสนุกๆ แต่ทว่าเวลากับอุปกรณ์ไม่เอื้ออำนวย เพราะอาจารย์ได้ตามหาคนช่วยทำงานเพราะว่าเลขาฯไม่อยู่สักคนเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฟื้นชุดคำชุดภาษาที่เป็นเรื่องยากพอควร เพราะการสอนมันก็จะมีเฉพาะอยู่ แม้แต่ความรู้ก็ยังไม่ใคร่จะเหมือนเดิมนัก ความรู้ก็น้อยนิดเดียวอยู่แล้วด้วย ขณะสอนก็เห็นได้ชัดว่าตัวเองนั้นปัญหาค่อนข้างมากในการเขียนตัวหนังสือบนกระดาน เพราะว่าเรื้อไปนาน ความเมื่อก็บังเกิด พยายามเขียนให้สวยก็กลับไม่ใคร่สวยนัก ซ้ำยังกังวลอยู่ในช่วงแรกๆ เด็กๆก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือมากนัก แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีอยู่แล้ว ต้องมีการตะโกนแข่งบ้าง อาจเป็นเพราะวิธีการพูดหรือการใช้เสียงขณะสอนหน้าห้องนั้นไม่เหมือนกันวิธีการใช้เสียงของทั่วไปอย่างนั้นเอง ไปสักครึ่งคาบก็เริ่มเหนื่อย ความกังวลเรื่องงานที่อาจารย์วานให้ดูแลให้ท่านก็ยังไม่ถึงไหน ดีก็แต่ว่ามีคุณครูอีกท่านมาช่วยเอาไว้ได้ทัน ซึ่งก็ย่อมดีกว่าที่ให้คุณครูท่านนั้นดูแลต่อเพราะเป็นเรื่องของโรงเรียนแล้ว ช่วงสอนใกล้จะจบคาบก็มีความคิด ความรู้สึกต่างๆขึ้นมากมากเหลือเกินทั้งชอบและไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ เห็นมุมว่าจะปรับปรุงเปลี่ยนหรือว่าเพิ่มตรงส่วนไหนอย่างไรทำนองนั้น ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันขณะอยู่หน้าห้องสักเท่าไหร่ คิดเห็นว่าอยากทำนู้นทำนี่ แต่ก็ไรพลังไปอย่างนั้น

ให้งานเสร็จถึงเวลาเรียน แต่อาจารย์ยังไม่เลิกบรรยายให้แขกที่มาเยี่ยมโรงเรียนตั้งแต่เช้า ใช้เวลาทั้งวันจริงๆ เลยเวลามาเกือบชั่วโมง เห็นเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆก็เริ่มเบื่อ บางคนก็สนุกกับการเรียนรู้อยู่กับเด็ก บ้างก็ไม่ คนเรานี่ก็แปลกมีหลายต่อหลายแบบจริงๆ บ้างก็เพื่อคนอื่น บ้างก็เพื่อตัวเอง เฮอะๆ กว่าจะได้เรียนเรียนก็ใช้เวลาอีกพักนึ่งในการปรับภาพให้ชัดจน ทำอะไรต่อมิอะไร เราเองก็รู้สึกว่าเป็นการเรียนแบบบ้านๆจริงด้วยแหละ ไม่ค่อยมีพิธีรีตรองอะไรมากนักสบายๆ เรียกได้อยู่ก็อยู่ด้วยกันขนาดนนี้แล้วนี่หน่า เออสนุกพิลึกๆ ในใจตัวเองก็เห็นความเป็นห่วงเป็นกังวลกับเพื่อนคนอื่นๆเป็นอันมาก ช่วงไหนที่ศัพท์ค่อนข้างยากก็นึกไปถึงคนอื่นๆว่าจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ที่ภาษาก็พอๆกัน แน่หล่ะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ่อย ไม่ได้ใช้เป็นภาษาแม่ด้วยนิ เห็นผัสสะอะไรเข้ามาก็ประมวลผลไปถึงคนอื่นๆเรื่อย ร่ำไป เออแปลกดี เหมือนหลงลืมตัวเองอะไรไปบางอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าลืมอะไรไป จะว่าไม่มีสติก็ไม่เชิง จะว่าบ้าๆเบลอก็คัยคล้าย งงเหมือนกันภาวะอย่างนี้ อาจเป็นมานานแต่ไม่เคยได้สังเกต หรือว่าสังเกตเรื่อยจึงเริ่มเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวเองแช่มชัดขึ้นเรื่อยๆกันแน่?

กว่าจะสอนเสร็จก็เย็นมาก ๖ มงกว่าแล้ว อาจารย์เหนื่อยเป็นอย่างยิ่งแต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่ ไม่เห็นว่าอิดโรยเท่าไหร่นักศึกษษทานข้าวเรียบร้อย ก็พากันกลับ เราเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเราจิ๊กจักรยานคนอื่นเขามาใช้อยู่ได้ตั้งหลายวัน แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาทวงนี่หว่า ก็เห็นว่าจอดอยู่ที่ที่พัก ก็เลยนึกว่ามีคนเอามาจอดไว้ไห้เนียนเลย แฮ่ๆ ทำโทษตัวเองด้วยการเดินจูงจักรยานกลับที่พัก ก็ได้พูดคุยกับคนนู้นคนนี้ วันนี้รู้สึกว่าเริ่มฟังสำเนียงได้ชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง วันนี้ต้องรีบนอนหน่อย เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องไป อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน พาเพื่อนๆไปเที่ยว

เกี่ยวกับฉัน

ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา