วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาถึง อ. สะเมิง

สะเมิง สบลาน
เช้าวันนี้เราออกเดินทางจากอ.เชียงดาว มายัง อ.สะเมิง ใช้เวลา ประมษร 2 ชั่วโมง เป็น สองชั่วโมงที่ทรมาณเป็นยิ่ง ด้วยนั่งอยู่ท้ายกระบะหลัง หันหน้าออกสวนทางกับการเคลื่อนที่ของรถ เส้นทางคดเคี้ยว อีกทั้งยังขึ้นเขา ภาวนาไม่ได้ช่วยอะไรนัก การพยายามข่มตาหลับเป็นทางออกที่ดีกว่า แต่ ก็คลื่นไส้เกินกว่าจะทนได้ อาหารที่กินไปเมื่อเช้า คือขาหมูร้านอร่อยจากอ.เชียงดาว แทจะสวนทางกลับออกมาจากช่องทางที่เรากลืนกินลงไป
คณะใหญ่ถึงตลาดอ.สะเมิงแล้วเรายังไม่ถึงใช้เวลาอีกสักครู่กับการร็พะอืดพะอม อดทนบรท้ายรถ ลงมาจากรถด้วยอาการหมดสภาพ คลายเสื้อให้รับลมเย็นๆ หายใจเข้าลึกยาว หายใจออกยาว สักสามสี่ครั้งไม่เป็นผล อาการอยากอาเจียนยิ่งทวีขึ้น รีดเดินหาห้องน้ำเพื่อลูบหน้าตาให้คลายความทุกข์ลง ทุกสายตา มองด้วยอาการยิ้มๆ และกรุณา จากอาการทางการที่เกิดขึ้น แต่ล้วนแต่เป็นความรักทั้งสิ้น
คณะใหญ่มาจากสถานีรถไฟด้วยรถรับจ้างสีเหลืองสดใสหลายคัน เกินกว่าครึ่งอัดตัวแน่นอยู่ในร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ สั่งอาหหาร แบบพายุถล่ม รายได้ของร้านอาหารในหนึ่งถึงสองชั่วโมงที่เราอยู่ตรงนี้นี้ อาจเทียบกับค่าอาหารที่ร้านเปิดขายตลอดทั้งวัน แม่ค้าคงเหนื่อยและเวียนหัวกันเป็นธรรมดา ยังคงทานอะไรไม่ได้ แต่น้ำเปล่าก็เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงและปรับสมดุลของร่างกายได้เป็นอย่างดี
เปลี่ยนรถที่ใช้เดินทางเพราะไม่อยากจะเข้าไปอัดอยู่ท้ายรถอีกต่อไป กระสองแถวแบบกระบะ 5 คน เดินทางเข้าสู่ หมู่บ้าน ในดงไม้เบื้องหน้า ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรแต่ก็ต้องไปเรื่อยๆ เพราะเส้นทางเป็นทางชันและลูดรัง สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ และ สายธาร ผมและชุดของพวกเราเริ่มที่จะเปลี่ยนสีออกแดง หัวสั่นหัวคลอน ลุ้นกับเส้นทางอยู่เล็กน้อย เราก็มาถึง....

เชียบงดาว 2

หนาวสะท้านเปล่าหัวใจ หนาวฤทัย อ้างว้าง
ใครบ้างได้ยินเสียง ร้องก้อง ของพี่
กระสับกระส่าย สั่นท้าว
มิอาจข่มตา หลับลง ข้ามคืน

เสียงน้ำไหลดังแว่ว เป็นทำนอง
เสียงหริ่งระงมร้อง ผสานใกล้
ลืมหวือวีดพัด ไอหนาว บาดใจ
น้ำตาตกลงใต้ หมอนหนุน

ณยามเช้าไก่โก่ง คอขัน
อากาศยังหนาว สะท้าน ทรวง
นภาพร่างดาวพราย หมอกบัง
จำลุกขึ้นพิงไฟเอา คลายหนาว

หมอกจางแล้วนะจ๊ะที่รัก ออกเดินไปยังบ่อพักน้ำร้อน
ลงแช่คลายหนาวไม่เว้าวอน จะถอดถอนความหนาวที่ฝังใจ
สบายสบายเวลาไม่กำหนด ชีวีเปลื้องปลดลงไว้
ปล่อยเวลาปล่อยกายใจ ให้กระแสน้ำไหลพัดพา

แต่งตัวออกไปกินข้าวเช้า พร้อมห่อข้าวสำหรับบ่าย
ใบตองรองไว้เมื่อยามสาย ยามบ่ายเจ้าจะเป็นอย่างไร
(ขีเกียจแต่งแล้ว...ดูหดหู่ยังไงไม่รู้...ดูเศ้ราๆชอบกล)

ว่าไปแล้วชีวิตนี่ก็แปลกแล้วนะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวร้ายก็กับดี ดูไปนะ...
หลังจากกินข้าวเช้าร้านอร่อย มังสวิรัตเจ้าเดินคราวนี้เดินทางมากินที่ร้านเลย พร้อมข้าวห่อใบตองอันใหญ่ทีเดียวสำหรับทุกคน วันนี้เราจะต้องไปเที่ยวดอยหลวงเชียงดาว..เขาว่ากันว่า เดินทางขึ้นไปด้วยรถก็เกือบชัวโมง หากหมายใจว่าจะขึ้นถึงยอดอาจต้องใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง ระหว่างเส้นทาง เราได้ไปดูสวนของพี่อ้วนด้วย สวยงามตามไหลเขาเรื่อยๆ สองหนุมนั่งอยู่ท้ายรถ ไม่ได้สนใจว่าเขาคุยอะไรกันด้านหน้า มัวแต่กินข้าวห่อใบตองนั่นแหละ อร่อย แล้วก็หลับไป

ทางขึ้นเขาเลาะไปตามทาง หัวสั่นหัวคลอนกันไปธรรมชาติสวยงาม เส้นทางคดเคี้ยว อากาศเปลี่ยนอีกครา เป็นอย่างไรไม่รู้ สดชื่นเท่านั้น ทั้งทางตา ทางใจ และอากาศที่สัมผัสกาย จอดรถง่ายๆมาฟังเสียงธรรมาติ “ลองเงียบเงียบ แล้วฟังเสียงธรรมชาติเค้าคุยกัน” เราเคยได้ยินกันบ้างหรือไม่ ในเมือง คงจะมีแต่เสียงสังเคราะห์ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ดังระงมเอง

ถึงทางขึ้นดอยหลวงแล้ว เห็นผองเพื่อนชาวเมืองแบกเป้มากมายเตรียมเข้าป่า..แล้วก็สะท้อนใจ บ้างกำลังจะขึ้น บ้างนั่งพักคลายเมื่อย “เอ้าเรามากันแล้ว ทำงานแลกข้าวกันหน่อย” ถุงหลาสติดที่เราใส่ข้าวถุงใหญ่ถูกแจกหั้บพวกเรา งงนิดๆว่าจะได้ทำอะไร “เก็บขยะ” โอ้ว..ในใจยิ้ม เร่งมือช่วยกันเก็บ ชาวเมืองหลายคน คงเฝ้ามอง บ้างได้ยินว่าอยากช่วยแต่ เพื่อนอีกคนก็บอกไม่ต้อง เราก็ทำไป..”ปีที่แล้วผมพาเด็กมาช่วยกันเก็ยได้เกือบ 200 กิโล” อืม... คนหนอคน

เก็บของเสร็จ พี่อ้วนถามความสมัครใจจากพวกเราว่าจะทำอะไรก่อน กิน หรือว่าเดิน แน่นอนส่วนใหญ่เลือกเดิน เพราะว่ายังรู้สึกอิ่มกับขาวเช้าอยู่ ส่วนผมสบายๆอยู่แล้วเพราะสำเร็จทา ข้าวเหนียวหมู น้ำพริกเรียบร้อยมาหนึ่งห่อแล้ว

ออกเดินทางด้วยลำแข้งทั้งสอง พี่อ้วนพาเราไปตามเส้นทางขึ้นดอยหลวง พร้อมกับเปิดห้องเรียนธรรมชาติ ป่า ตนไม้ ใบไม้ต่างๆ นก ชีวิตในป่า... ความเขียวครึ้ม ลมพัดเย็น เส้นทางสวยๆงาม เราไม่ต้องรีบรร้อนเดินไป เดินไปเรื่อยๆ “ช้าลงนิด..เป็นสุขใจ” ระหว่างทาง พบชาวเมืองเพื่อนกัน สื่อสารว่าเมื่อคืน อากาศบบนยอดดอย อยู่ที่ เกือบ 0 องศา

“ขอบคุณค่า....” เสียงตะโกนก้องป่าที่ร้องออกมาจากพี่สาวคนหนึ่งในคณะ เป็นเสียงที่ออกมาจากหัวใจอย่างแท้จริง ความรู้สึกกของคุณธรรมชิต ที่โอบอ้อม เสมือน ผู้เฒ่าที่เฝ้ามองเด็ก ประคองกอดพวกเราอยู่ในที ทุกคนประหลาดใจกับเสียงนี้ แต่มองหน้ากันด้วยความรู้สึก อิ่มเอม..และอยากขอบคุณ พี่สาวคนนี้เสียงจริงๆ ที่เอ่ยคำขอบคุรจากหัวใจนี้ในกับ ผู้เฒ่าที่ยิ่งใหญ่ของเรา

ลงมากินข้าวพักผ่อนกาย พูดคุยกันพอคลายเหนื่อย ขึ้นรถต่อไปอีกเพื่อไปหมู่บ้านหนึ่งบนดอยนั้นเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงชาวดอย ชมยอดภูรูปทรงแปลกตา ภาพ พาโนราม่า ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา มีแต่ธรรมชาติ แบบบริสุทธิ์ อากาศเย็นสบาย ที่พักสวยงาม มานั่งมานอนเอกเขนกกันให้สบาย เรานั่งพูดคุย ราวกับไม่ได้เจอกันมานาน บ้างก็ปลีกตัวไปนั่งสบายๆกินบรรยากาศให้อิ่มหนำ

ร่ำลาเพื่อนพี่อ้วนที่อยากจะใช้ชื่อ นิคม เหมือนกัน ด้วยความอยากกินขนมปัง โฮลวีท อร่อยๆ พี่อ้วนก็กราพาเราไปที่ร้านเพื่อรับขนมปังอร่อยๆ ที่เพิ่งเสร็จใหม่ๆจากเตา อร่อยๆจริงๆ เราแวะเข้าไปที่บ้านพักของพี่อ้วน ซากปรักหักพัง ของสิ่งก่อสร้างเต็มไปหมด คล้ายกับว่าเป็นโบราณสถานสักแห่ง

เย็นนี้เรากินข้าวกันตามสบายๆ อิ่มหนำ เคล้าไอมิตรภาพที่อบอวล...คืนนี้เราจะต้องลาแล้วเชียงดาว แน่นอนไม่พราด เราเตรียมตัวนอนดีกว่าเมื่อวันวาน...

เชียงดาว สาวหนุ่ม

เดินทางสู่ขนส่งฯแบบกระชั้นชิด หัวใจยังรีบร้อน ความคิดฟุ้งฟุ้ง
รถก็ติดตลอดสาย หมายมุ่ง จะถึงก่อนใกล้ทุ่ม...ไหมหนอ?

ออกจากบ้านมาช้าๆ ไม่รีบร้อนเพราะคิดว่ารถไม่น่ะติด..แต่ที่ไหนได้...ยาวเลยเช่นกัน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผองเพื่อนร่วมเดินทางก็ถึงที่จุดนัดกันแล้ว ใจก็เร่งไปให้โดยไว เพราะลึกๆก็กลัวตกรถ

ถึงแล้ว เวลายังเหลือนิดหน่อยก็ดูงงๆว่าทำไมต้องวุ่นวายใจขนาดนั้น สมาชิกมาเกือบครบ ขาดไปก็เพียงแต่ “หัวหน้าคณะ...” ไม่เป็นไร เดี๋ยวจอดรับกลางทางได้ไม่มีปัญหา นั่งมาบนรถ จิตใจไม่เป็นสุข เพราะหวังว่าจะได้เห็นหน้า “ครูกุ๊ก” สักหน่อยพอให้นอนฝันดี ป่าวดูไม่ได้!

รังสิต..สถานที่นัดหมาย หัวหน้าก็ยังไม่มา... กะว่าคนขับเขาคงไม่รอ เลยต้องไปยืนดัก อาจเป็นเพราะใจ ประวิงไปก่อน หัวหน้ามาแล้ว ออกเดินทาง...

นครสวรรค์ จุดแวะพักกลางทาง บัตรโดยสารสามารถแลกอาหารได้....ค่อยคลายความหิว ที่มาจากความอยากของปากที่ต้องการขยับเล็กน้อย...

ถนนคดเคี้ยวไปมา แกว่งโยนไปตรามหลุมตามบ่อของถนนที่ไม่เรียบนัก ทางขึ้นเขา ลงห้วยอย่างไร ไม่รู้เพราะหลับแบบหัวสั่นหัวคลอน
ตีสี่กว่า ถึงตัวจังหวัดเชียงใหญ่ เห็นผู้คนที่อยู่ที่ขนส่งสวมเสื้อกันหนาว...”เชียงดาว “อาจต้องหนาวกว่านี้แน่! ใจคิด ตีห้ากว่า ถึงเชียงดาวแล้ว หมอกลงหนา อากาศก็เย็นได้ใจจนต้องค้นเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่

ขึ้นรถสองแถวจากจุดที่ลงไปตลาด... ตลาดไม่ใหญ่นัก พวกเรา ๕ คนเลือกนั่งที่ร้านกาแฟ-ไข่ลวก ร้านหนึ่ง ในตลาด วางข้าวของที่เยอะแยะอย่างกับจะมาอยู่สักเดือนไว้ที่นี่ก่อน สั่งเครื่องดื่ม แล้วออกเดิน...หาอะไรมาเป็นเชื้อพลังให้กับร่างกาย

“รู้จัก พี่อ้วน มั๊ย ครับ?” เป็นคำถามยอดฮิต ติดดาวของหัวหน้าคระ และลูกทีม ที่เหมือนกันรอลุ้นคำตอบและ check เรต ไปในคราเดียวกัน ...”อ๋อ พี่อ้วน นิคม” เป็นเสียงตอบจากบรรดาพ่อค้าแม่ขาย ชาวบ้าน ร้านตลาด อ. เชียงดาวเป็นอย่างดี

เจ็ดโมงแล้ว หมอกยังหนาอยู่ เทอร์โมมิเตอร์ในรถ4*4 คันงามของ อ้ายแดง บอกไว้ว่า 15 องศา แน่นอน หกีวิต ยินดีอัดกันอยู่ในตัวรถไม่มีใครออกไปนั่งที่กระบะท้าย

รถแล่นไปไม่ช้านัก แต่ด้วยความระมัดระวังของผู้ขับที่ชำนาญทาง ผ่านหมู่บ้าน ร้านตลาด ตรอกซอย วัด โรงเรียน ข้ามแยก... เราสังเกตเห็นป้ายลางๆ ท่ามกลางสายหมอก “สถานที่กางเต็นท์ค่ายเยาวชนอนุรักษ์ดอยหลวง” ในใจก็ยังคงคิดว่าจะเป็นประการใดกันหนอ

หมอกจางหรือควันไฟ ใครบอกได้วานตอบที
มองเห็นอยู่ในที ฤาจะต้องพิสูจน์กัน
สูดไอแล้วฉ่ำชื่น หรือขมขื่นเมินหน้าหัน
จะเป็นสิ่งใดนั้น คงต้องตอบด้วยตนเอง


ทางเป็นทางขึ้นเขาน้อยๆ ผ่านสวนมะม่วง ลิ้นจี่ ลำไย รถเลี้ยวซ้ายผ่านหมู่บ้านของชาวเขาเข้ามา หมูตัวสีดำ กับลูกๆที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเป็นอิสระ ควายฝูงใหญ่ ลำธาธน้ำใส ไหลเย็น ถนนคอนกรีตสิ้นสุดลงที่หมู่บ้านของชาวเขานั้น ดินลูกรังที่ค่อนข้างเรียบ อาจบ่งบอกอะไรเราบางอย่าง หายใจไม่กี่ครั้งก็ถึงที่หมาย

หมอกยังคงอยู่ อ้ายแดงส่งเราเรียบร้อย ความกระตือรือร้นอยากเที่ยวของพวกเรายังท่วมท้น หัวเริ่มวางแผนว่าจะไปนู้นนี่อยู่ กะว่าเอาให้คุ้ม.. อ้ายแดงบอกกับเราว่า ให้พักให้สบายก่อน สามารถเดินไปแช่น้ำร้อนได้ ไม่ไกลนักจากที่นี่ หมอกเริ่มจางคลาย ยอดดอยหลวงสูงตระหง่านต้องแสงแดดสีทอง ผสานแนวป่าเต็มด้วยแมกไม้นานาพรรณด้านล่าง อาคารห้องประชุม และสนามหญ้า เรียงกันลงมาจากท้องฟ้าสีขาวจนถึงปลายเท้าของเจ้าของสายตา ภาพตรงหน้าชวนให้มองอย่างพิเคราะห์ถึงความกลมกลืนกันไป สายตาก็คงจ้องมองแต่ยอดเขาสูงใหญ่

ดอยหลวงสูงเด่นตั้ง ตระหง่าน
แซมหมอกขาวดุจ เมฆจาง เพื่อนพ้อง
แสงทองส่องสาด ขุนเขา พนาไพร
รับด้วยอาคารหลังใหญ่ เสียงน้ำไหลริน

เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยออกตามรอย ท่านประธานไปยังบ่อน้ำร้อน ด้วยไมตรีของคุณลุงสุวรรณขับรถไปส่งถึงที่ พบท่านประธาน พร้อมด้วย เจ้าบ้านกำลังนอนแช่น้ำอย่างเป็นสุข เปลี่ยนชุดท้าอากาศเสียหน่อยแล้วค่อยๆหย่อนกายลงในบ่อน้ำนั้น.... ลำธารไหลรินเป็นฉากสวยอยู่ตรงหน้า กลิ่นกำมะถันที่ออกมาพร้อมควันลอยคุ้งอยู่อ่อนๆ “อาบน้ำร้อนแล้วต้องแช่น้ำเย็นในลำธาร” ปลายผิวเหมือนถูกเข็มทิ่มทุกรูขุมขน กลับมารับประทานอาหารมังสวิรัตอร่อยๆจากร้านอาหารหรู “ลองพิสูจน์”

ช่วงสายนี้ เจ้าบ้านของเรามีประชุมชาวบ้าน ใจจริงอยากร่วมฟังด้วย แต่ด้วยความอ่อนล้าจากการนั่งรถ พวกเราเลยของีบหลับบนกองผ้าห่มหนาอย่างเป็นสุขแทน

ตื่นขึ้นมาเกือบบ่ายอากศยังเย็นไปนิดสำหรับคนท้ายน้ำอย่างเราๆ รับประทานอาหารแบบเมืองๆ อย่างอร่อย มีผักสดเคียงหลากหลายอย่าง อากาศดี อาหารอร่อยมีประโยชน์ ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว

จักรยานคันเก่งของ น้องโอม และน้องออม สองชายตัวกระปุ๊กลุกสายเลือดพี่อ้วนโดยตรง ถูกสองน้าหนู และน้าภูมิหยิบยืมมาปั่นชมรอบๆ ที่พัก ตลอดเส้นทางเป็นทางลงเขาแทบจะไม่ต้องออกแรงปั่น เพียงประคองให้เจ้าสองล้อ ไหลลงมาตามทางเท่านั้น ลมเย็นกระทบหน้า อากาศพิสุทธิ์ไหลเข้าปอดเต็มๆ สองฟากถนนเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ โยกซ้าย ขวา ไปตามทาง ไม่นานก็ถึงตลาด ในใจก็คิดว่า ขากลับคงไม่ปั่นแล้ว จอดรอที่ตลาดดีกว่า

เพื่อนร่วมทีมมากันอีกสองคน เดินทางมาไกล ด้วยรถบัสสีแดง... กระเป๋าใบใหญ่ยังกองอยู่ที่พื้น หนึ่งนั้นกังลิ้มรสไอศกรีมอย่างเอร็ด ด้วยเหตุผลว่า อาจไม่ได้กินอีกหลายวัน... อ้ายแดงมาเช่นเคย โชคดีที่ไม่ต้องขี่จักยานกลับที่พัก

หลังจากที่ทุกคนถึงที่พัก หย่อย ใจเสียนิดหน่อย เราทั้งเจ็ด พร้อมมัคุเทศน้อยทั้งสอง ก็เดินทางไปเที่ยวชมความงามของอ.เชียงดาว หมู่บ้าน ปางแดง ที่รู้สึกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าที่จะเป็นหมู่บ้านของพี่น้องชาวเขา ได้ผ้าทอมือมาคนละผืนสองผืน เดินทางไปเที่ยวถ้ำเชียงดาว เสียแต่ว่ามาช้าไปหน่อย จึงไม่สามารถเข้าไปชมความงามในถ้ำได้ แล้ววกรถกลับมาที่พัก ร่ำอาหารเอร็ด ก่อไฟพิงให้กายอุ่น วงพูดคุยก็เริ่มต้น...เหนื่อยแล้ว แยกย้ายกันไปนอน

เกี่ยวกับฉัน

ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา