เช้าวันศุกร์ วันนี้มีแขกมาแต่เช้าเช่นเคย วันนี้เราไปไม่สายเหมือนเมื่อวานเพราะรู้สึกได้พักค่อนข้างเยอะ แขกมาเยอะ มีแขกคุยกับเด็กระหว่างอาจารย์เล่านิทาน ก็ทำให้หงุดหงิดใจเช่นกัน เห็นความไม่ประสงค์ดที่จะทำให้การขัดจังหวะเล่านี้เกิดขึ้น ความควรไม่ควรก็เข้ามาครอบงำตัวเอง มีช่วงที่แอบหลับด้วยเช่นเดียวกัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเยื่อเข้าไปทุกทีๆ แม้ว่านิทานจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจก็ตาม หากลองฟังดีๆก็จะเห็นสำนวนภาษาน่ารักๆจากอาจารย์ได้เช่นกัน เช่น ราชสีห์เป็นกษัตริย์แห่งป่า
ช่วงเข้าแถวก็เกิดความสนุกขึ้นมาถ่ายรูปและวิดิโอด้วยโทรศัพท์พื่อเอาไว้ประกอบอะไรบางอย่างของตัวเอง ก็สนุกดี เห็นอะไรหลายต่อหลายมุมดี ความรู้สึกที่อยากจะมีกล้องถ่ายรูปติดตัวมก็เกิดขึ้นอีกเยอะเช่นกัน คิดไปเรื่อย ถ้ามีนะ จะอย่างนู้นอย่างนี้เป็นจิตนาการ ที่ทำให้ทุกข์เสียเหลือเกิน ตัณหาความทะยานอยากนี่เขาไม่เคยปราณีจริงๆ ได้รับมอบหมายให้เป็นล่ามกิตตมาศักดิ์อีดเช่นเคย ความนี้แปลไม่ดีเท่าเมื่อวาน เพราะจะมีคนข้างๆมาร่วมแปลด้วยยิ่งทำให้ความมั่นใจไขว้เขวไปเสีย ต้องรอฟังว่าเข้าพูดอะไร อย่างไร จะเอาความคิดชุดภาษา ลำดับการร้อยเรียงของตัวเองมาใช้ก็ไม่ทันไปเสียสิ้น จึงไม่ค่อยรู้สึกดีเท่าไหร่ มีเรื่องอย่างะเล่าให้ฟังดังนี้ มีอาจารย์ท่านหนึ่งท่านได้ถามนักเรียนที่โรงเรียนว่า “ครูเห็นนักเรียนตอบคำถามมามีแต่ข้อดีๆแล้วม่ทราบว่ามีข้ออะไรที่ไม่ดีหรือไม่ ช่วยหยิบยกข้อไม่มีมาบอกให้ฟังหน่อย” นักเรียนอึกอึก แล้วมีนักเรียนคนหนึ่งตอบว่า” เรื่องมองว่าดีไม่ดีนี่ก็เกิดกับแต่ละบุคคล โรงเรียนสอนให้เรามองด้านที่ดี ไม่เปิดช่องด้านที่ไม่ดีเอาไว้ เป็นเหมือนสองประตู เราก็เลือกเปิดเฉพาะประตูด้านดีเท่านั้นครับ ผมก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร” เสียงปรบมือดังขึ้น ครูท่านนั้นก็รีบสวนว่า “ถ้านี่เป็นข้อสอบ และครูเป็นผู้ออกข้อสอบ ตอบอย่างนี้ตก เพราะว่าไม่ตรงคำถามนะคะ” เราเองก็เห็นความกลัวของคนถามเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนความกลัวของคนตอบย่อมมีแต่ทำได้ดีควบคุมได้ แต่คนถามไม่สามารถควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ต้องหลุดวาจาอย่างนี้ออกมาเพื่อประโลมตัวเองให้อยู่ในภาวะปกติไม่ได้รู้สึกว่าถูกทำร้ายตัวตนข้างในของตัวเอง..
เรามีเวลาว่างอีกนิดหน่อย ก็ทำงานกุ๊กกิ๊กของตัวเองไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงเวลาทานอาหารกลางวันก็รับประทานอาหารสบายๆ แต่ทว่าก็มีกลุ่มบุคคลเข้ามาสอบถาม เรื่องราวของโรงเรียนโดยที่นึกว่าตัวข้าเจ้าเป็นคุณครูเสียอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่ถอว่าเป็นเรื่องแปลก กว่าจะรู้ก็ตอนท้ายสุดของการสนทนาแล้ว เราเองก็สำรวจตัวเองอยู่เช่นกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรเมื่อมีคนเรียกตัวเราว่าเป็นคุณครูโรงเรียนสัตยาไส รู้สึกได้ว่าใจมันพองเล็ก ยอมรับหน่อยว่าใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดมีความประหม่าอายเล็กเกิดขึ้นกลางใจเช่นกัน
ช่วงบ่ายขณะนั่งทำงานอยู่ที่ห้องพักของอาจารย์ คุณครูเลขาฯต้องออกไปทำธุระนอกโรงเรียนในตัวจังหวัดจึงไม่มีใครสอนนักเรียนแทนเพราะว่ามีสอนหรือติดงานกันแทบทั้งหมด ฉะนั้นเราจึงอาสาสอนแทนเสียเลย ก็เลยต้องรีบฟื้นความรู้เสียหน่อย Question Words กับนักเรียน ม.๑ ตอนแรกนึกว่าใจให้ทำกิจกรรมสนุกๆ แต่ทว่าเวลากับอุปกรณ์ไม่เอื้ออำนวย เพราะอาจารย์ได้ตามหาคนช่วยทำงานเพราะว่าเลขาฯไม่อยู่สักคนเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฟื้นชุดคำชุดภาษาที่เป็นเรื่องยากพอควร เพราะการสอนมันก็จะมีเฉพาะอยู่ แม้แต่ความรู้ก็ยังไม่ใคร่จะเหมือนเดิมนัก ความรู้ก็น้อยนิดเดียวอยู่แล้วด้วย ขณะสอนก็เห็นได้ชัดว่าตัวเองนั้นปัญหาค่อนข้างมากในการเขียนตัวหนังสือบนกระดาน เพราะว่าเรื้อไปนาน ความเมื่อก็บังเกิด พยายามเขียนให้สวยก็กลับไม่ใคร่สวยนัก ซ้ำยังกังวลอยู่ในช่วงแรกๆ เด็กๆก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือมากนัก แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีอยู่แล้ว ต้องมีการตะโกนแข่งบ้าง อาจเป็นเพราะวิธีการพูดหรือการใช้เสียงขณะสอนหน้าห้องนั้นไม่เหมือนกันวิธีการใช้เสียงของทั่วไปอย่างนั้นเอง ไปสักครึ่งคาบก็เริ่มเหนื่อย ความกังวลเรื่องงานที่อาจารย์วานให้ดูแลให้ท่านก็ยังไม่ถึงไหน ดีก็แต่ว่ามีคุณครูอีกท่านมาช่วยเอาไว้ได้ทัน ซึ่งก็ย่อมดีกว่าที่ให้คุณครูท่านนั้นดูแลต่อเพราะเป็นเรื่องของโรงเรียนแล้ว ช่วงสอนใกล้จะจบคาบก็มีความคิด ความรู้สึกต่างๆขึ้นมากมากเหลือเกินทั้งชอบและไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ เห็นมุมว่าจะปรับปรุงเปลี่ยนหรือว่าเพิ่มตรงส่วนไหนอย่างไรทำนองนั้น ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันขณะอยู่หน้าห้องสักเท่าไหร่ คิดเห็นว่าอยากทำนู้นทำนี่ แต่ก็ไรพลังไปอย่างนั้น
ให้งานเสร็จถึงเวลาเรียน แต่อาจารย์ยังไม่เลิกบรรยายให้แขกที่มาเยี่ยมโรงเรียนตั้งแต่เช้า ใช้เวลาทั้งวันจริงๆ เลยเวลามาเกือบชั่วโมง เห็นเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆก็เริ่มเบื่อ บางคนก็สนุกกับการเรียนรู้อยู่กับเด็ก บ้างก็ไม่ คนเรานี่ก็แปลกมีหลายต่อหลายแบบจริงๆ บ้างก็เพื่อคนอื่น บ้างก็เพื่อตัวเอง เฮอะๆ กว่าจะได้เรียนเรียนก็ใช้เวลาอีกพักนึ่งในการปรับภาพให้ชัดจน ทำอะไรต่อมิอะไร เราเองก็รู้สึกว่าเป็นการเรียนแบบบ้านๆจริงด้วยแหละ ไม่ค่อยมีพิธีรีตรองอะไรมากนักสบายๆ เรียกได้อยู่ก็อยู่ด้วยกันขนาดนนี้แล้วนี่หน่า เออสนุกพิลึกๆ ในใจตัวเองก็เห็นความเป็นห่วงเป็นกังวลกับเพื่อนคนอื่นๆเป็นอันมาก ช่วงไหนที่ศัพท์ค่อนข้างยากก็นึกไปถึงคนอื่นๆว่าจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ที่ภาษาก็พอๆกัน แน่หล่ะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ่อย ไม่ได้ใช้เป็นภาษาแม่ด้วยนิ เห็นผัสสะอะไรเข้ามาก็ประมวลผลไปถึงคนอื่นๆเรื่อย ร่ำไป เออแปลกดี เหมือนหลงลืมตัวเองอะไรไปบางอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าลืมอะไรไป จะว่าไม่มีสติก็ไม่เชิง จะว่าบ้าๆเบลอก็คัยคล้าย งงเหมือนกันภาวะอย่างนี้ อาจเป็นมานานแต่ไม่เคยได้สังเกต หรือว่าสังเกตเรื่อยจึงเริ่มเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวเองแช่มชัดขึ้นเรื่อยๆกันแน่?
กว่าจะสอนเสร็จก็เย็นมาก ๖ มงกว่าแล้ว อาจารย์เหนื่อยเป็นอย่างยิ่งแต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มอยู่ ไม่เห็นว่าอิดโรยเท่าไหร่นักศึกษษทานข้าวเรียบร้อย ก็พากันกลับ เราเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเราจิ๊กจักรยานคนอื่นเขามาใช้อยู่ได้ตั้งหลายวัน แต่ก็ไม่เห็นมีใครมาทวงนี่หว่า ก็เห็นว่าจอดอยู่ที่ที่พัก ก็เลยนึกว่ามีคนเอามาจอดไว้ไห้เนียนเลย แฮ่ๆ ทำโทษตัวเองด้วยการเดินจูงจักรยานกลับที่พัก ก็ได้พูดคุยกับคนนู้นคนนี้ วันนี้รู้สึกว่าเริ่มฟังสำเนียงได้ชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง วันนี้ต้องรีบนอนหน่อย เพราะว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องไป อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน พาเพื่อนๆไปเที่ยว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เกี่ยวกับฉัน
- poom
- ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น