หนาวสะท้านเปล่าหัวใจ หนาวฤทัย อ้างว้าง
ใครบ้างได้ยินเสียง ร้องก้อง ของพี่
กระสับกระส่าย สั่นท้าว
มิอาจข่มตา หลับลง ข้ามคืน
เสียงน้ำไหลดังแว่ว เป็นทำนอง
เสียงหริ่งระงมร้อง ผสานใกล้
ลืมหวือวีดพัด ไอหนาว บาดใจ
น้ำตาตกลงใต้ หมอนหนุน
ณยามเช้าไก่โก่ง คอขัน
อากาศยังหนาว สะท้าน ทรวง
นภาพร่างดาวพราย หมอกบัง
จำลุกขึ้นพิงไฟเอา คลายหนาว
หมอกจางแล้วนะจ๊ะที่รัก ออกเดินไปยังบ่อพักน้ำร้อน
ลงแช่คลายหนาวไม่เว้าวอน จะถอดถอนความหนาวที่ฝังใจ
สบายสบายเวลาไม่กำหนด ชีวีเปลื้องปลดลงไว้
ปล่อยเวลาปล่อยกายใจ ให้กระแสน้ำไหลพัดพา
แต่งตัวออกไปกินข้าวเช้า พร้อมห่อข้าวสำหรับบ่าย
ใบตองรองไว้เมื่อยามสาย ยามบ่ายเจ้าจะเป็นอย่างไร
(ขีเกียจแต่งแล้ว...ดูหดหู่ยังไงไม่รู้...ดูเศ้ราๆชอบกล)
ว่าไปแล้วชีวิตนี่ก็แปลกแล้วนะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวร้ายก็กับดี ดูไปนะ...
หลังจากกินข้าวเช้าร้านอร่อย มังสวิรัตเจ้าเดินคราวนี้เดินทางมากินที่ร้านเลย พร้อมข้าวห่อใบตองอันใหญ่ทีเดียวสำหรับทุกคน วันนี้เราจะต้องไปเที่ยวดอยหลวงเชียงดาว..เขาว่ากันว่า เดินทางขึ้นไปด้วยรถก็เกือบชัวโมง หากหมายใจว่าจะขึ้นถึงยอดอาจต้องใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง ระหว่างเส้นทาง เราได้ไปดูสวนของพี่อ้วนด้วย สวยงามตามไหลเขาเรื่อยๆ สองหนุมนั่งอยู่ท้ายรถ ไม่ได้สนใจว่าเขาคุยอะไรกันด้านหน้า มัวแต่กินข้าวห่อใบตองนั่นแหละ อร่อย แล้วก็หลับไป
ทางขึ้นเขาเลาะไปตามทาง หัวสั่นหัวคลอนกันไปธรรมชาติสวยงาม เส้นทางคดเคี้ยว อากาศเปลี่ยนอีกครา เป็นอย่างไรไม่รู้ สดชื่นเท่านั้น ทั้งทางตา ทางใจ และอากาศที่สัมผัสกาย จอดรถง่ายๆมาฟังเสียงธรรมาติ “ลองเงียบเงียบ แล้วฟังเสียงธรรมชาติเค้าคุยกัน” เราเคยได้ยินกันบ้างหรือไม่ ในเมือง คงจะมีแต่เสียงสังเคราะห์ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ดังระงมเอง
ถึงทางขึ้นดอยหลวงแล้ว เห็นผองเพื่อนชาวเมืองแบกเป้มากมายเตรียมเข้าป่า..แล้วก็สะท้อนใจ บ้างกำลังจะขึ้น บ้างนั่งพักคลายเมื่อย “เอ้าเรามากันแล้ว ทำงานแลกข้าวกันหน่อย” ถุงหลาสติดที่เราใส่ข้าวถุงใหญ่ถูกแจกหั้บพวกเรา งงนิดๆว่าจะได้ทำอะไร “เก็บขยะ” โอ้ว..ในใจยิ้ม เร่งมือช่วยกันเก็บ ชาวเมืองหลายคน คงเฝ้ามอง บ้างได้ยินว่าอยากช่วยแต่ เพื่อนอีกคนก็บอกไม่ต้อง เราก็ทำไป..”ปีที่แล้วผมพาเด็กมาช่วยกันเก็ยได้เกือบ 200 กิโล” อืม... คนหนอคน
เก็บของเสร็จ พี่อ้วนถามความสมัครใจจากพวกเราว่าจะทำอะไรก่อน กิน หรือว่าเดิน แน่นอนส่วนใหญ่เลือกเดิน เพราะว่ายังรู้สึกอิ่มกับขาวเช้าอยู่ ส่วนผมสบายๆอยู่แล้วเพราะสำเร็จทา ข้าวเหนียวหมู น้ำพริกเรียบร้อยมาหนึ่งห่อแล้ว
ออกเดินทางด้วยลำแข้งทั้งสอง พี่อ้วนพาเราไปตามเส้นทางขึ้นดอยหลวง พร้อมกับเปิดห้องเรียนธรรมชาติ ป่า ตนไม้ ใบไม้ต่างๆ นก ชีวิตในป่า... ความเขียวครึ้ม ลมพัดเย็น เส้นทางสวยๆงาม เราไม่ต้องรีบรร้อนเดินไป เดินไปเรื่อยๆ “ช้าลงนิด..เป็นสุขใจ” ระหว่างทาง พบชาวเมืองเพื่อนกัน สื่อสารว่าเมื่อคืน อากาศบบนยอดดอย อยู่ที่ เกือบ 0 องศา
“ขอบคุณค่า....” เสียงตะโกนก้องป่าที่ร้องออกมาจากพี่สาวคนหนึ่งในคณะ เป็นเสียงที่ออกมาจากหัวใจอย่างแท้จริง ความรู้สึกกของคุณธรรมชิต ที่โอบอ้อม เสมือน ผู้เฒ่าที่เฝ้ามองเด็ก ประคองกอดพวกเราอยู่ในที ทุกคนประหลาดใจกับเสียงนี้ แต่มองหน้ากันด้วยความรู้สึก อิ่มเอม..และอยากขอบคุณ พี่สาวคนนี้เสียงจริงๆ ที่เอ่ยคำขอบคุรจากหัวใจนี้ในกับ ผู้เฒ่าที่ยิ่งใหญ่ของเรา
ลงมากินข้าวพักผ่อนกาย พูดคุยกันพอคลายเหนื่อย ขึ้นรถต่อไปอีกเพื่อไปหมู่บ้านหนึ่งบนดอยนั้นเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงชาวดอย ชมยอดภูรูปทรงแปลกตา ภาพ พาโนราม่า ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา มีแต่ธรรมชาติ แบบบริสุทธิ์ อากาศเย็นสบาย ที่พักสวยงาม มานั่งมานอนเอกเขนกกันให้สบาย เรานั่งพูดคุย ราวกับไม่ได้เจอกันมานาน บ้างก็ปลีกตัวไปนั่งสบายๆกินบรรยากาศให้อิ่มหนำ
ร่ำลาเพื่อนพี่อ้วนที่อยากจะใช้ชื่อ นิคม เหมือนกัน ด้วยความอยากกินขนมปัง โฮลวีท อร่อยๆ พี่อ้วนก็กราพาเราไปที่ร้านเพื่อรับขนมปังอร่อยๆ ที่เพิ่งเสร็จใหม่ๆจากเตา อร่อยๆจริงๆ เราแวะเข้าไปที่บ้านพักของพี่อ้วน ซากปรักหักพัง ของสิ่งก่อสร้างเต็มไปหมด คล้ายกับว่าเป็นโบราณสถานสักแห่ง
เย็นนี้เรากินข้าวกันตามสบายๆ อิ่มหนำ เคล้าไอมิตรภาพที่อบอวล...คืนนี้เราจะต้องลาแล้วเชียงดาว แน่นอนไม่พราด เราเตรียมตัวนอนดีกว่าเมื่อวันวาน...
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
เกี่ยวกับฉัน
- poom
- ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น