วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สัตยาไส อินเตอเนอะชั่นแน่ว #2

รุ่งเช้า Yoga ตื่นแต่เช้ามาภาวนา ก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนอะไร ให้แก่ร่างกาย แต่สร้างความร้อนใจแก่เราพอตัว เพราะเริ่มเห็นอาการเปรียบเทียบที่เกิดขึ้น และก็เริ่มกังวลว่าจะไม่ยอมตื่น.... แต่ก็ตื่นมาด้วยดี อาบน้ำเตรียมพร้อมแล้ว พบเพื่อนใหม่อีกคนมาจาก เปรู สูงอายุสักหน่อย ชื่อว่า Liliana Sumarriva ป้าแกก็ดูขยันดี แต่ท่าทางเอาเรื่องพอตัว เดาเอาจากแววตา ไม่เคยได้รู้จักเพื่อนแถบนี้มาก่อน คงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ได้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตอนเช้าเราออกเดินไปห้องพระ การภาวนาเริ่มประมาณ ๕.๔๕ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาที สบายๆ ไกลเหมือนกัน! ชักเมื่อยเพราะว่าแบกของเยอะพอตัว เข้าห้องพระพบความเปลี่ยนแปลง ดูมีความเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นในการดูแลเด็ก และ ตัวเด็กเอง เมื่อวาน Teacher บอกว่า นักเรียนม.๖ปีนี้เป็นนักเรียนที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องๆได้ แต่ว่าไม่ค่อยมีข้างในมากนัก ผิดกับรุ่นที่แล้วที่เป็นตัวอย่างไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่ข้างใน มีความเป็นศิลปินอยู่เอามาก ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง

เข้าห้องพระ สวดมนต์ นั่งสมาธิเรียบร้อย ก็เดินออกไปกินข้าว เด็กยังเข้ามากอดอาจารย์อยู่เป็นกิจวัตร ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของทั้งอาจารย์และเด็กเลยก็ว่าได้ (โดยเฉพาะเด็กตัวเล็กๆ) ข้าวเช้าวันข้าวต้น ที่โรงเรียนนี้ทานมังสวิรัตกัน ไม่มีเนื้อสัตว์ไม่มีจริงๆ กินผักกินหญ้าไป หลังกินข้าวพบเพื่อนชาวเนปาลอีกสามคน โอ๊ย....! ส่ายหัวด๊อกแด๊ก ฟังไม่รู้เรื่อง ลิ้นระรัวเป็นพลันวัน คุณ Bishwadeep และ Jyoti Adhikari เป็นคู่สามีภรรยา คุณผู้ชายเป็นทนาย คุณผู้หญิงเป็นครู แล้วก็อีกคน ชื่อ Jyotshana Gamair คนนี้ก็เป็นครูเช่นกัน โฮ้ว! โฮ้ว! ฟังไม่รู้เรื่อง ลิ้นระรัว!! เราเองก็ส่ายหัวเหมือนกัน แต่ คนละความหมาย 555
วันนี้ตอนสายๆพาไปเที่ยวตลาดกัน เลือกซื้อผลไม่กันอย่างสนุก เงาะ มังคุด ลางสาด ฝรั่ง คนละนิดละน้อยพอปะทังชีพได้ เราเองก็ซัดซะ...555 ไหนๆก็ไม่ได้กินเนื้อ ก็กินผลไม้แทน กลับมาพักที่หอ เพราะความเหนื่อยมันสะสม ไม่รู้ว่ามาจากไหร เห็นคนอื่นๆเค้าเหนื่อยจากการเดินทางก็เลยเหมาเอาว่าเหนื่อยบ้าง สบายไปได้หนึ่งงีบก่อนกินข้าว หลังกินข้าวเราเองก็สนุกกับการทำนู้นทำนี่เขียนบันทึกบ้าง เขียนอะไรต่อมิอะไรบ้าง เพื่อนนักเรียน อีก สามคนก็มาถึง Anne กับลูกชาย Tom Karnowsky เป็น ฝรั่งเศส Bonjour, Bing! สาวอินเดียกลางคนหนึ่งคน และเป็นสาวอีกคนซึ่งอยู่ที่London คือ VijayShree Krishnan และ Nivedida Chopa เออ ค่อย ok หน่อยกับภาษาพอฟังสำเนียงรู้เรื่องนิดหน่อย ได้เจอ ครูอีกคนที่ได้เคยได้พบ แต่ได้รู้จักชื่อ ครูครูหนุ่ย ผู้แฝงฝังตัวอยู่อยู่ห่างไกลผู้คน และร่ำเรียนวิชาแพทย์แผนไทยอยู่ น่าสนุกพิลึกแก๊งนี้

หลังจากการOrientationแล้ว ก็มีการถามนิดหน่อยว่าใครต้องการจักรยานบางหรือไม่ ซึ่งเราก็ต้องการเป็นที่แน่แท้เพราะไม่อย่างนั้นเราต้องเดินไปเดินมาน่องโป่งพอดี พอแม่หญิงชาวเนปาล อยากได้รถแมงกะไซด์แต่ ทำไงได้ที่นี่ไม่เห็นมี เราเลยบอกว่าจะแนะนำให้ว่าปั่นอย่างไร เลยช่วงเย็นนี้ก็เลยต้องประคอง แม่หญิงคนนี้นิดหนึ่ง ด้วยความสูงวัยของเธอ แต่ดูเธออยากปั่นรถถีบได้ ก็เลยให้เธอลองปั่นรถถีบดู ตอนรแกก็เห็นว่าถอดใจเพราะว่ายากเหลือเกิน ค่อนข้างลำบอกสำหรับชุดของเธอที่รู้สึกว่ารุ่มร่ามเล็กสำหรับการหัดปั่นจักรยาน มีแม่หญิงชาวอินเดียอีกคนมาช่วยGuide ให้นิดๆ แม้ว่าเธอคนนี้จะไม่ได้ขี่มาตั้งแต่สิบสอง แต่ ก็โอเคมันอยู่ในเนื้อในตัว สบายๆ ขี่ได้อยู่แล้ว ช่วงประคองจักรยาน เราไม่ได้มองเห็นตัวเองเท่าไหร่นัก รู้แต่ว่า แม่หญิงชาวเนปาลนี้เกร็งมาก เอาการ จาก ท่านั่ง อวัยะวะทุกส่วนของร่างกาย...ยิ่งรู้แน่ชัดเมื่อ เราเหลือบไปเห็นมือของเธอเป็นแผลเพราะว่า เกร็งกัการจับแฮนด์รถถบมากจนเกินไป แต่มันก็แสดงถึงความตั้งใจของเธอได้เป็นอย่างดี เราเห็นถึงความไม่มั่นใจของเธอู้นี้เพราะขณะเราจับเรารู้ได้ว่าเธอพอจะทรงตัวได้แล้วแต่ความกลัวที่เข้ามาแทรกนั้นเกินจะอธิบายได้ เราก็ประคองเธอเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเธอสามารถไปด้วยตัวเองได้แล้ว เราก็เริ่มปล่อยมือ แต่ยังคงทำราวกับว่า เรายังประคองเธออยู่ ทุกคนที่เห็นปรบมือให้เธอ เธอเห็นก็ยังไม่สนใจจนกระทั่งเธอลงจากรถถีบ แล้วระลึกว่าเธอสามารถขี่รถถีบได้แล้ว อันนี้เป็นเรื่องแปลกที่ว่า ผู้ใหญ่มักจายึกเอาความกลัวที่มีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดเข้ามามากกว่าเด็กทำให้ปิดกั้นอะไรบางอย่างของตัวเองไปเสียสิ้น... เราบอกให้เธอผู้นี้วางความกลัว แล้วเชื่อมั่น แรกเลยอาจเชื่อมั่นในตัวผู้ที่คอยประคอง แต่แล้วก็กลับมาเชื่อมั่นตัวเอง ซึ่งเราเห็นได้จากตัวเธอเองอยู่แล้ว แล้วเธอเองก็ทำได้ สบายๆ เนียนๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับฉัน

ในที่แห่งนี้เป็นที่ถ้อยแถลงในหัวใจเรา